แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันนำสัญญาค้ำประกันมาสืบประกอบในการฟ้องไล่เบี้ยจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้ มิใช่เป็นการนำสืบบังคับตามสัญญาค้ำประกันโดยตรง แม้สัญญาค้ำประกันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินนางบัวผันโดยมีโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน หนี้ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ชำระหนี้แทนไปเป็นเงิน 7,312.50 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยค้ำประกันจำเลย และจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ให้นางบัวผันแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 7,270 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องพิจารณาเพียงว่า ศาลจะรับฟังสัญญาค้ำประกัน เอกสารหมาย จ.1 ที่ปิดอากรแสตมป์ 1 บาท ไม่ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากรเป็นพยานหลักฐานในคดี เพื่อให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยจำเลยโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 693 โจทก์นำสืบพยานบุคคลฟังได้แล้วว่าโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยกู้จากนางบัวผัน จันทรขจรการนำสืบสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.1 มิใช่เป็นการนำสืบให้บังคับตามสัญญาดังกล่าวโดยตรงเพียงแต่นำสืบเอกสารหมาย จ.1ประกอบพยานอื่นว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิไล่เบี้ยตามสัญญาค้ำประกันเท่านั้น ดังนั้น สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 ไม่จำต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรก็รับฟังประกอบคดีได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน