คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1451/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาดักยิง ศ.เมื่อส.ขับรถปิคอัพมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเป็น ศ. เพราะไม่รู้จักมาก่อนจึงจ้องปืนเล็งไปยัง ส. โดยมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองแต่ ส.โบกมือให้ทราบว่าตนมิใช่ศ. จำเลยที่ 1จึงไม่ได้ยิงดังนี้ เป็นการลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา289(4),80 จำเลยที่ 2 ให้รถจักรยานยนต์และปืนแก่จำเลยที่ 1 ไปใช้ยิง ศ. ดังนี้จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้จ้างวานจำเลยที่ 1 ที่ 2ฆ่านายแพทย์ศิริโรจน์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ขับขี่ไปจ้องยิงนายสมบัติโดยเข้าใจว่าเป็นนายแพทย์ศิริโรจน์ระหว่างที่นายสมบัติขับรถปิคอัพ นายสมบัติ หลบหนีได้ จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ลักเอาสวิตซ์รถยนต์ปิคอัพไปรถจักรยานยนต์ที่จำเลยใช้กระทำผิดไม่ได้เสียภาษีประจำปี และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันมีและพกพาอาวุธปืนลูกโม่ .38 จำนวน 1 กระบอกไม่มีหมายเลขทะเบียนพร้อมกระสุนปืน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 335, 336 ทวิ, 80, 81, 83, 84, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ พระราชบัญญัติรถยนต์ฯมาตรา 6, 60 และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 80 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 2 มีความผิดตาม มาตรา 289(4), 80, 86 ลงโทษจำคุก33 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยกและยกฟ้องจำเลยที่ 3 โจทก์จำเลยที่ 1และที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วปัญหาในชั้นนี้มีว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 หรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยาน 3 ปากคือนายสมบัติ บุตรโพธิ์ นางสาวนวลจันทร์ อันทรง และนางสาวสลิดา รันนันท์ เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ขณะเกิดเหตุนายสมบัติ ขับรถยนต์ปิคอัพของโรงพยาบาลแกดำมุ่งหน้ากลับโรงพยาบาลอำเภอวาปีปทุมโดยมีนางสาวนวลจันทร์และนางสาวสลิดานั่งมาด้วย จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ออกมาดักหน้ารถยนต์ที่นายสมบัติขับที่บริเวณลานมัน นายสมบัติขับรถยนต์แซงขึ้นไปทางด้านซ้าย จำเลยที่ 1 ก็ชักปืนออกมาจากเอวจ้องปากกระบอกปืนมายังนายสมบัติ นายสมบัติโบกมือทั้งสองข้างให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าไม่ใช่นายแพทย์ศิริโรจน์ จำเลยที่ 1 จึงขับรถจักรยานยนต์แซงขึ้นไป แล้วจอดขวางหน้าไว้นายสมบัติถอยรถยนต์หนีจนรถตกถนนแล้วนายสมบัติและนางสาวนวลจันทร์วิ่งเข้าไปหลบในป่าส่วนนางสาวสลิดาหมอบอยู่ในรถ นอกจากนี้ได้ความจากนางสาวสลิดาต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาถึงรถยนต์ที่นางสาวสลิดาหมอบอยู่ จำเลยที่ 1 ก็เอากุญแจสวิตซ์รถยนต์ไปแล้วพูดว่าต้องการยิงนายแพทย์ศิริโรจน์ นอกจากนี้ได้ความจากนายไสว ทับสมบัติ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่าก่อนเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยจำเลยที่ 1 ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางมาถามหานายแพทย์ศิริโรจน์ โดยจำเลยที่ 1 มีอาการผิดปกตินายไสวจึงบอกให้นายสมบัติและนางสาวสลิดาระวังตัว พยานโจทก์ดังกล่าวทุกคนได้เห็นจำเลยที่ 1 ในเวลากลางวันต่างยืนยันว่าจำเลยที่ 1เป็นคนร้ายและได้มีโอกาสเห็นจำเลยที่ 1 เป็นเวลานานพอสมควรเชื่อว่า พยานเหล่านี้จำจำเลยที่ 1 ได้ ที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่าจำเลยที่ 1 ไปตามหาหมอโรจน์โดยจำเลยที่ 1 หมายถึงนายนกยูงคนร้ายปล้นทองนั้น ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อถือได้ และที่จำเลยที่ 1อ้างว่า จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ตามนายนกยูงมาพบจำเลยที่ 2นั้นก็ขาดเหตุผล เพราะหากนายนกยูงเป็นคนร้ายปล้นทองดังที่จำเลยที่ 1 สืบมาได้ ก็ไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 2 จะให้จำเลยที่ 1ตามมาพบ จำเลยที่ 2 ควรนำกำลังไปจับกุมมากกว่าเพราะคนร้ายปล้นทรัพย์น่าจะไม่ยอมมาพบจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจข้อเท็จจริงจึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาดักยิงนายแพทย์ศิริโรจน์โดยมีเจตนาฆ่า เมื่อนายสมบัติขับรถมาถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 เข้าใจว่านายสมบัติคือนายแพทย์ศิริโรจน์เพราะจำเลยที่ 1 ไม่รู้จักนายแพทย์ศิริโรจน์มาก่อน จำเลยที่ 1 จึงจ้องปืนเล็งนายสมบัติโดยมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 1 ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะนายสมบัติโบกมือให้จำเลยที่ 1ทราบว่าตนไม่ใช่นายแพทย์ศิริโรจน์จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา
สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ก็เบิกความรับว่าจำเลยที่ 2 ให้รถจักรยานยนต์ของกลางแก่จำเลยที่ 1 ไปใช้ในวันเกิดเหตุและในวันเกิดเหตุนั้นเองก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้คืนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ภายหลังเกิดเหตุแล้วข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองในเรื่องจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ไปตามตัวนายนกยูงคนร้ายปล้นทองนั้นขัดต่อเหตุผลดังได้วินิจฉัยไว้แล้วนอกจากนี้ยังปรากฏชัดว่าจำเลยที่ 1 มิได้ไปตามหานายนกยูงแต่ประการใด กลับไปตามหานายแพทย์ศิริโรจน์เพื่อจะฆ่า จำเลยที่ 2ให้จำเลยที่ 1 ยืมรถจักรยานยนต์ของกลางในวันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 1 ก็นำมาคืนให้จำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุนั้นเองภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้ติดตามเพื่อฆ่านายแพทย์ศิริโรจน์ไม่สำเร็จแล้วทั้งจำเลยทั้งสองก็เบิกความตรงกันว่าจำเลยที่ 1 นำรถจักรยานยนต์ไปใช้ในทางการที่จำเลยที่ 2 สั่ง พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดคดีนี้ นอกจากนี้พลตำรวจรินทอง อ่อนบ้านแดง พยานโจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลา 14 นาฬิกา พยานได้พบเห็นจำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์มาโดยจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายและเห็นจำเลยที่ 2 ชักปืนสั้นออกมาจากเอวแล้วเหน็บให้กับจำเลยที่ 1 โดยพยานรู้จักจำเลยทั้งสองคน พยานปากนี้ไม่มีสาเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด อนึ่งเมื่อจำเลยที่ 1 ถูกจับกุม จำเลยที่ 1 ก็ให้การพาดพิงถึงจำเลยที่ 2ว่าวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ไปตีหมอศิริโรจน์ที่โรงพยาบาลแกดำแล้วจำเลยที่ 2 เสียบอาวุธปืนให้ที่บริเวณขอบกางเกงด้านหลังของจำเลยที่ 1 ปรากฏตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาหมาย จ.27 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พยานหลักฐานที่ จำเลยที่ 1 ที่ 2นำสืบไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน แต่ของกลางให้ริบ

Share