คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1393/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของ ส.ยอมรับผิดไม่เกิน 50,000 บาทไว้ต่อโจทก์ ซึ่งตามสัญญาค้ำประกันระบุว่าความผูกพันตามสัญญาค้ำประกันจะเป็นอันระงับลงต่อเมื่อโจทก์ได้หักค่าจ้างของ ส.ไว้จนครบมามอบให้โจทก์ยึดถือไว้แทน การที่โจทก์จ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพให้แก่พนักงานของโจทก์รวมทั้ง ส.เป็นรายเดือนตามอัตราและวิธีการที่โจทก์กำหนดไว้ และพนักงานยังมีสิทธิจะได้รับ เมื่อทำงานครบ 5 ปีและ 10 ปีแล้วนั้น เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้ ทั้งหมดแต่ฝ่ายเดียว ถือไม่ได้ว่าโจทก์หักค่าจ้างของ ส.ไว้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว และสัญญาค้ำประกันก็มิได้บังคับว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องหักค่าจ้างของ ส.เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หักค่าจ้างของส.ไว้จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันอยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายสุชาติ รัตนสิน ไว้กับโจทก์ว่า ถ้านายสุชาติซึ่งเข้าเป็นพนักงานของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจะชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์50,000 บาทต่อมานายสุชาติได้กระทำผิดทำให้โจทก์เสียหายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษและให้นายสุชาติใช้เงินแก่โจทก์549,489.67 บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวน 50,000 บาท ไปชำระ แต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 52,187 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันจริง แต่ตามระเบียบของโจทก์ โจทก์จะต้องหักเงินเดือนนายสุชาติไว้เป็นเงินสะสมและโจทก์ก็ได้หักเงินเดือนนายสุชาติตลอดมา หากโจทก์ไม่หักก็เป็นเพราะความผิดของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 52,187 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน27,609.27 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายสุชาติ รัตนสิน ยอมรับผิดไม่เกินจำนวนเงิน 50,000 บาทไว้กับโจทก์ ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งตามสัญญาข้อ 4 ระบุว่าความผูกพันตามสัญญาค้ำประกันจะเป็นอันระงับลงต่อเมื่อโจทก์ได้หักค่าจ้างของนายสุชาติไว้เป็นประกันจนครบ 50,000 บาท มามอบให้โจทก์ยึดถือไว้แทนแล้ว ต่อมานายสุชาติได้ทุจริตยักยอกและฉ้อโกงโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายสุชาติใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 500,000 บาทเศษ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่าโจทก์ต้องนำเงินทุนเลี้ยงชีพของนายสุชาติมาหักจากจำนวนเงินที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่โจทก์มีนายสมาน ธนาคม ผู้จัดการของโจทก์ สาขาอุบลราชธานีเป็นพยานเบิกความว่า เงินทุนเลี้ยงชีพเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้พนักงานของโจทก์ทุกคนมิใช่หักจากเงินเดือน และตามระเบียบการเงินทุนเลี้ยงชีพของธนาคารกรุงเทพ จำกัด พ.ศ. 2521เอกสารหมาย จ.6 มีข้อความว่า ข้อ 2 พนักงานของธนาคารกรุงเทพจำกัด ได้สิทธิรับเงินทุนเลี้ยงชีพจากธนาคารตามข้อ 2.1 เงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 10 ของเงินเดือนของพนักงานที่ได้รับอยุ่ ในขณะนั้น และข้อ 2.2 เงินทุนเลี้ยงชีพเพิ่มพิเศษเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของยอดเงินในบัญชีทุนสะสมของพนักงานผู้นั้น เมื่อพนักงานผู้นั้นปฏิบัติงานมาครบ 5 ปีและ 10 ปีบริบูรณ์ข้อ 3.1 การจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือน จะจ่ายให้แก่พนักงานเป็นรายเดือนทุกเดือนโดยธนาคารจะนำฝากเข้าบัญชีทุนสะสมของพนักงานผู้นั้น ข้อ 3.2 เงินทุนเลี้ยงชีพเพิ่มพิเศษจะจ่ายให้เพียง2 ครั้ง เมื่อพนักงานผู้นั้นปฏิบัติงานมาครบ 5 ปีและ 10 ปีบริบูรณ์ตามลำดับเท่านั้น ไม่ว่าพนักงานผู้นั้นจะลาออกไปแล้วกลับเข้ามาปฏิบัติงานใหม่อีกก็ตาม แสดงว่าเงินทุนเลี้ยงชีพนี้โจทก์เป็นผู้จ่ายให้นายสุชาติทั้งหมดแต่ฝ่ายเดียว จึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์หักเงินค่าจ้างของนายสุชาติไว้ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 4 โจทก์จึงนำเงินทุนเลี้ยงชีพดังกล่าวไปชำระหนี้เงินกู้สวัสดิการที่นายสุชาติทำสัญญากู้กับโจทก์ได้ ที่จำเลยต่อสู้ว่านายสุชาติมียอดเงินในบัญชีเงินทุนเลี้ยงชีพเป็นเงินจำนวน22,390.72 บาท ตามเอกสารหมาย ล.1 โจทก์ต้องหักเงินทุนเลี้ยงชีพดังกล่าวออกก่อน ส่วนที่เหลือจึงจะให้ผู้ค้ำประกันรับผิด จึงรับฟังไม่ได้ และตามสัญญาค้ำประกันข้อ 4 ดังกล่าว มิได้เป็นการบังคับให้โจทก์มีหน้าที่ต้องหักค่าจ้างของนายสุชาติมายึดถือไว้แทนตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ดังนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้หักค่าจ้างของนายสุชาติไว้และนายสุชาติทำความเสียหายให้แก่โจทก์โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 ต่อโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share