แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเบิกความโดยที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้านและคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานนั้น แม้ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้ แต่ศาลอาจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่โจทก์นำสืบได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ริบปลอกกระสุนและหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางเฮียง แซ่จึง มารดาผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ริบปลอกกระสุนและหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานมาสืบเพียงปากเดียว คือนายโสภณหรือโฉ สุขสวัสดิ์ แต่ประจักษ์พยานโจทก์ปากนี้เบิกความตอบโจทก์เสร็จและลงชื่อไว้ในคำให้การพยานแล้ว ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบนายโสภณต่อพร้อมกับนายเจริญถนอมศักดิ์ ในนัดหน้าเพราะเป็นพยานคู่กัน แต่ในที่สุดโจทก์ก็ไม่อาจนำตัวนายโสภณมาสืบต่อได้ ทั้งไม่อาจนำตัวนายเจริญมาสืบได้เลย สำหรับคำเบิกความของนายโสภณนั้นระบุว่าพยานเห็นจำเลยกับนายเอนก แสงแก้ว น้องชาย ขับขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมา แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสามคน นอกจากนี้โจทก์มีคำให้การชั้นสวบสวนของนายโสภณและนายเจริญ เอกสารหมาย ป.จ.3 และ ป.จ.4 มาส่งอ้างต่อศาล ตามเอกสารดังกล่าวนายโสภณและนายเจริญยืนยันว่า เห็นจำเลยกับนายเอนกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสาม โดยมีรายละเอียดต่างๆ สอดคล้องต้องกัน และตรงกับคำเบิกความของนายโสภณในชั้นพิจารณาด้วย คำเบิกความของนายโสภณและคำให้การชั้นสอบสวนของนายโสภณและนายเจริญนั้น แม้ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้ เนื่องจากจำเลยไม่มีโอกาสซักค้านคำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าว แต่ศาลอาจรับฟังพยานหลักฐานเหล่านี้ประกอบพยานหลักฐานอื่นๆ ที่โจทก์นำสืบได้
ได้ความจากนายพานิช โสอินทร์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลปากนคร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช พยานโจทก์ว่า ขณะเกิดเหตุพยานรับประทานอาหารอยู่กับจ่าสิบตำรวจประเวศ แก้วสีดวง และพลตำรวจพิสิทธิ์ สุมลรัตน์ ได้ยินเสียงปืนดัง ก็พากันไปยังที่เกิดเหตุพบนางละเอียด (ผู้ตายคนหนึ่ง) นอนคว่ำหน้าอยู่ข้างรถกำลังพยุงตัวลุกขึ้น พยานถามนางละเอียดว่าใครยิง นางละเอียดว่านายมณีเป็นคนยิงพยานก็เข้าใจว่าหมายถึงจำเลยเพราะนางฮวยแม่ยายจำเลยเคยฟ้องคดีนายธงชัยผู้ตายในข้อหาหมิ่นประมาท และขณะเกิดเหตุก็ฟ้องขับไล่นายธงชัยต่อศาล จ่าสิบตำรวจประเวศแก้วสีดวง ก็เบิกความสอดคล้องกับคำเบิกความของนายพานิชในเรื่องสาเหตุโกรธเคืองระหว่างแม่ยายจำเลยและนายธงชัยดังกล่าวนั้นนางเฮียง แซ่จึง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดานายธงชัยผู้ตายก็เบิกความรับรอง นอกจากนี้นายประสิทธิ์ โทนจินดา ซึ่งเคยเป็นลูกจ้างของนายธงชัยผู้ตายก็เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า เคยเห็นนางฮวยทะเลาะกับนางละเอียดผู้ตายหลายครั้ง และนางละเอียดเคยเล่าให้พยานฟังว่าจำเลยขู่จะฆ่านางละเอียดด้วย อนึ่งในคืนวันเกิดเหตุนั้นเอง ร้อยตำรวจตรีจรินทร์ วัฒนไพรสาณฑ์ พนักงานสอบสวนได้บันทึกปากคำนางละเอียดผู้ตายไว้ในขณะที่นางละเอียดได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ท้องและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชต่อหน้าร้อยตำรวจโทสุเมธ จิตต์พาณิช ผู้ร่วมสอบสวน และนางสาวทิวาวิมลทรง พยาบาล ตามบันทึกดังกล่าวเอกสารหมาย จ.1 นางละเอียดให้การว่า คนร้ายมี 2 คน คนหนึ่งชื่อมณีเป็นตำรวจนางละเอียดได้พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ด้วย นางสาวทิวา ร้อยตำรวจโทสุเมธ และร้อยตำรวจตรีจรินทร์ ก็ลงชื่อไว้ในบันทึกดังกล่าว ร้อยตำรวจตรีจรินทร์วัฒนไพรสาณฑ์ และนางสาวทิวา วิมลทรง ก็เบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่า นางละเอียดระบุชื่อนายมณีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนร้าย ขณะนั้นนางละเอียดรู้สึกตัวดี ที่จำเลยฎีกาว่านางสาวทิวาเบิกความแตกต่างกับร้อยตำรวจตรีจรินทร์ในข้อที่ว่า ในการสอบปากคำนางละเอียดดังกล่าวนั้น นางสาวทิวาเบิกความว่านางละเอียดระบุชื่อและนามสกุลของคนร้ายว่านายมณี แสงแก้ว แต่ร้อยตำรวจตรีจรินทร์ว่านางละเอียดระบุแต่ชื่อคนร้ายไม่ได้ระบุนามสกุลด้วยนั้น เห็นว่า นางสาวทิวาอาจเบิกความสับสนไปบ้างหาใช่ข้อสำคัญไม่ ทั้งนี้เพราะบันทึกเอกสารหมาย จ.1 ระบุชัดว่า นางละเอียดให้การว่าคนร้ายชื่อมณีเป็นตำรวจไม่ทราบนามสกุล ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.