คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1295/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ ช. ยอมตกลงกับจำเลยซึ่งเป็นผู้รับอาวัลเช็คว่า จำเลยไม่จำต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท โดย ช. จะไปเรียกเก็บเอากับผู้สั่งจ่ายเองภายหลัง ช. จัดการโอนเช็คพิพาทไปให้โจทก์ โดยหวังว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เกี่ยวข้องกับข้อตกลงดังกล่าวจะได้ใช้สิทธิในฐานะผู้ทรงฟ้องบังคับเอากับจำเลยได้นั้น พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมเป็นการฉ้อฉลโดยตรง จำเลยจึงชอบที่จะยกข้อต่อสู้อันมีอยู่กับ ช. ตามข้อตกลงดังกล่าวขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ และปัญหานี้มิใช่เป็นกรณีตามมาตรา 940โจทก์จึงไม่อาจอ้างเงื่อนไขของบทบัญญัติมาตรา นี้มาใช้ปิดปากจำเลยในอันที่จะยกข้อต่อสู้ตามมาตรา 916 ขึ้นใช้ยันโจทก์เพื่อปฏิเสธความรับผิดได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้รับอาวัลให้ชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าผู้ทรงคนก่อนตกลงกับจำเลยว่าผู้ทรงคนก่อนจะไปเก็บเงินจากผู้สั่งจ่ายโดยตรง โจทก์เป็นญาติกับผู้ทรงคนก่อนรับสมอ้างมาเป็นโจทก์ในคดีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงข้อตกลงระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้วโจทก์ฎีกาบรรยายมาอย่างยืดยาวซึ่งพอสรุปความได้ว่า การโอนเช็คพิพาทระหว่างนายชัยสิงห์ นฤหล้ากับโจทก์ได้กระทำโดยสุจริตและจำเลยซึ่งเป็นผู้สลักหลังเช็คย่อมตกอยู่ในฐานะเป็นผู้รับอาวัล จึงไม่อาจยกข้อต่อสู้ใด ๆ นั้นมาใช้ยันโจทก์เพื่อปฏิเสธความรับผิดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 940 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สำหรับปัญหาข้อแรกที่ว่าการโอนเช็คพิพาทระหว่างนายชัยสิงห์กับโจทก์ได้กระทำไปโดยสุจริตหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์เองว่าจำเลยได้เซ็นชื่อไว้ที่มุมซ้ายของเช็คพิพาททั้ง 14 ฉบับและมีลายมือชื่อของนายชัยสิงห์อยู่ที่มุมขวาของเช็คพิพาททุกฉบับเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อผลตามกฎหมายทำให้จำเลยต้องตกอยู่ในฐานะเป็นผู้รับอาวัลต่อผู้สั่งจ่ายแล้วนายชัยสิงห์ก็ย่อมตกอยู่ในฐานะเช่นเดียวกับจำเลย แต่มีข้อน่าสังเกตุว่าโจทก์หาได้ฟ้องนายชัยสิงห์ให้ร่วมรับผิดด้วยไม่ทั้ง ๆ ที่มูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้ง 14 ฉบับนี้นายชัยสิงห์ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรง นอกจากนี้ตัวผู้สั่งจ่ายคือนายโองการและนายประเสริฐ ศรีชวาลาโจทก์ก็มิได้ฟ้องเช่นเดียวกันจริงอยู่เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะเลือกฟ้องบุคคลใดให้รับผิดแต่เพียงลำพังผู้เดียวก็ได้ แต่โดยเหตุผลธรรมดาแล้วการที่มีบุคคลหลายฝ่ายเข้ามาร่วมกันรับผิดในมูลหนี้รายเดียวกันย่อมเป็นหลักประกันในการบังคับคดี โดยเฉพาะการที่โจทก์มิได้ฟ้องนายชัยสิงห์ซึ่งเป็นคู่สัญญากับตนนั้นย่อมเป็นพฤติการณ์ที่ส่อพิรุธทำให้เห็นเจตนาได้ว่านายชัยสิงห์ประสงค์จะหลีกเลี่ยงเงื่อนไขตามข้อตกลงในเอกสารหมาย ล.3 ซึ่งนายชัยสิงห์ได้ยอมรับรองกับจำเลยแล้วว่าจำเลยไม่จำต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้ง 14 ฉบับโดยนายชัยสิงห์จะไปเรียกเก็บเอากับนายโองการและนายประเสริฐซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเอง เมื่อเป็นดังนี้นายชัยสิงห์จึงจัดการโอนเช็คพิพาทไปให้โจทก์ โดยหวังว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เกี่ยวข้องกับข้อตกลงตามเอกสารหมายล.3 จะได้ใช้สิทธิในฐานะผู้ทรงฟ้องบังคับเอากับจำเลยได้พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมเป็นการฉ้อฉลโดยตรง จำเลยจึงชอบที่จะยกข้อต่อสู้อันมีอยู่กับนายชัยสิงห์ตามเอกสารหมาย ล.3 ขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ และปัญหานี้มิใช่เป็นกรณีตามมาตรา 940 โจทก์จึงไม่อาจอ้างเงื่อนไขของบทบัญญัติมาตรานี้มาใช้ปิดปากจำเลยในอันที่จะยกข้อต่อสู้ตามมาตรา 916 ขึ้นใช้ยันโจทก์เพื่อปฏิเสธความรับผิด’
พิพากษายืน.

Share