คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3จำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิเสธว่ามิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 รับว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ดังนี้ โจทก์ต้องนำสืบต่อไปว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ดังที่ฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบเช่นนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน แม้ทุนทรัพย์คดีไม่เกิน 20,000 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกคันซึ่งจำเลยที่ 4 ได้รับประกันภัยค้ำจุนไว้ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วยความประมาท เบียดกระแทกกับเสาไฟฟ้าอำนวยแสงสว่างของโจทก์ต้นที่ 234 ซึ่งปักอยู่ริมทางหลวงสาย 302 ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 15,677 บาทขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่าจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 หนี้ละเมิดได้ระงับไปแล้วตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ตัวแทนโจทก์ทำไว้กับจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ก่อนสืบพยานจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แถลงรับว่าจำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน 15,677 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาโจทก์เพียงประการเดียวว่าที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2ที่ 3 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และทุนทรัพย์ในคดีนี้ไม่เกิน20,000 บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จำเลยที่ 2ที่ 3 ต่างปฏิเสธว่าไม่ใช่เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จริงโจทก์จึงต้องนำสืบต่อไปว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ดังที่ฟ้องด้วย แต่โจทก์ก็ไม่ได้นำพยานมาสืบเลยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วยโดยโจทก์มิได้นำสืบไว้เลยเช่นนี้ จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิด ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายมิใช่เป็นเรื่องศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงจากหลักฐานในสำนวนอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงแม้ทุนทรัพย์คดีไม่เกิน 20,000 บาทศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้มานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’.
พิพากษายืน.

Share