คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เดิม อ.และพ. เป็นหนี้โจทก์ตามเช็คและสัญญากู้ยืมเงินการที่จำเลยทั้งสองยอมรับผิดในหนี้ดังกล่าวโดยทำเป็นสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ จำเลยทั้งสองต้องผูกพันรับผิดตามสัญญากู้ยืมต่อโจทก์ จะอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้เพื่อปฏิเสธไม่ยอมรับผิดตามสัญญากู้ไม่ได้ เดิมศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภรรยา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้ออื่นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ จำเลยฎีกา แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเพราะจำเลยไม่เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ชั้นฎีกาถือได้ว่าจำเลยไม่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ประเด็นดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยไม่อาจฎีกาในข้อนี้อีกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่เคยกู้เงินโจทก์ แต่นางอำไพและนายพิศาลได้เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินและเช็คแล้วโจทก์ได้ขู่เข็ญจำเลยทั้งสองให้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินโจทก์เพื่อรับชำระหนี้ดังกล่าวทั้งหมดของบุคคลทั้งสองจำเลยก็ให้นางอำไพผ่อนชำระตลอดมา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 456,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน 420,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์เป็นหนังสือตามที่โจทก์ฟ้อง ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญากู้ดังกล่าวหรือไม่เพียงใด ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์เบิกความว่ายอดเงินกู้ตามสัญญากู้เงินที่โจทก์ฟ้องจำนวน420,000 บาทนั้น เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่นางอำไพและนายพิศาลกู้เงินโจทก์และเป็นหนี้ที่เกิดจากการที่นางอำไพนำเช็คที่นางอำไพเป็นผู้สั่งจ่ายไปแลกเงินสดจากโจทก์ตามที่โจทก์นำสืบรวมเป็นเงิน390,000 บาทกับดอกเบี้ยของเงินจำนวน 390,000 บาทที่ค้างชำระเป็นเงิน 30,000 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองยอมรับผิดชดใช้ให้โจทก์ จึงต้องฟังว่าผู้กู้และรับเงินไปตามสัญญากู้คือนางอำไพและนายพิศาล จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามสัญญากู้หากจะฟังว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญากู้ก็รับผิดเพียงจำนวน390,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่าเดิมนางอำไพและนายพิศาลเป็นหนี้เงินกู้โจทก์และนางอำไพเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คที่นางอำไพนำไปแลกเงินสดจากโจทก์การที่จำเลยทั้งสองยอมรับผิดในหนี้ที่นางอำไพและนายพิศาลมีต่อโจทก์และทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้โดยทำเป็นสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองมีความผูกพันต้องรับผิดใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามสัญญากู้ จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ไม่ได้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 16,800 บาท จำเลยทั้งสองไม่ได้ค้างชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน 36,750 บาท ตามฟ้องนั้นก็คงมีเฉพาะตัวจำเลยทั้งสองเบิกความเป็นพยานโดยไม่มีอะไรเป็นหลักฐาน ไม่อาจรับฟังได้ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมของภริยาโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเดิมศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้ออื่นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความจำเลยฎีกา แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเนื่องจากจำเลยไม่เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ในชั้นฎีกา ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ ประเด็นในข้อนี้จึงเป็นอันยุติดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งสองไม่อาจฎีกาในข้อนี้อีกได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share