แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้โจทก์ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินมาครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาจำเลยแก้ไขวันเดือนปีในเช็คพิพาทให้โจทก์นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นเดียวกันโจทก์จึงนำเช็คพิพาทมาฟ้อง ดังนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในครั้งแรกความผิดย่อมเกิดขึ้นแล้ว การที่โจทก์นำเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินครั้งหลังมาฟ้องจึงหาเป็นความผิดขึ้นอีกไม่ เพราะการกระทำอันเดียวกันจะเกิดเป็นความผิดสองครั้งหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ออกเช็คพิพาทลงวันที่ 1สิงหาคม 2528 จำนวนเงิน 60,000 บาท มอบให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 1สิงหาคม 2528 ต่อมาจำเลยแก้ไขวันเดือนปีในเช็คพิพาทเป็นวันที่ 18 ธันวาคม 2528 เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระเงินตามวันเดือนปีที่แก้ไข โจทก์ได้นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นเดียวกันแล้ววินิจฉัยว่าการแก้ไขวันเดือนปีเดิมที่ลงในเช็คมาเป็นวันเดือนปีใหม่มิใช่เป็นการประนีประนอมยอมความในเช็คฉบับเดิมอันจะทำให้เกิดเช็คฉบับใหม่ขึ้นอีกฉบับหนึ่งเช็คพิพาทคงเป็นเช็คฉบับเดิม เมื่อถูกปฏิเสธการจ่ายเงินมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่1 สิงหาคม 2528 ความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คย่อมเกิดขึ้นแต่วันนั้นแล้ว ที่โจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีเพื่อให้เรียกเก็บเงินอีกแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นครั้งที่สองที่โจทก์ตั้งเป็นฐานข้อหาตามฟ้องนั้นหาเกิดเป็นความผิดขึ้นอีกไม่ เพราะเป็นการกระทำความผิดอันเดียวกันซึ่งจะเป็นความผิดสองครั้งหาได้ไม่
พิพากษายืน.