คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาเพิ่มเติมของจำเลยที่ยื่นเกินกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองแม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยขว้างลูกระเบิดเพื่อพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่และข้อเท็จจริงไม่พอรับฟังว่าจำเลยมีลูกระเบิด ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปีฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานมีลูกระเบิดมือสังหาร จำคุก2 ปี ฐานต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 4 ปี ความผิดอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง ริบของกลาง และนับโทษจำเลยต่อกับโทษจำเลยในคดีอื่น โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ด้วย จำคุกตลอดชีวิต เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จะนำโทษความผิดอื่นมารวมไม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) คงลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตสถานเดียว โดยไม่นับโทษต่อจากคดีอื่นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา จ่าสิบตำรวจสงกรานต์ วรานุชพิทักษ์ จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ขาวงาม สิบตำรวจเอกสาโรจน์ ศรีละคร พลตำรวจวิรัตน์เอื้อการ กับร้อยตำรวจโทชัชวาล เกตุแก้ว เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอพล กับอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ร่วมกันจับกุมจำเลยได้ในเขตท้องที่อำเภอบ้านไผ่ และยึดได้อาวุธปืนลูกซองสั้นขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนเบอร์ 12 จำนวน 2 นัดเป็นของกลางจริง มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 15มกราคม 2530 ว่า จำเลยมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองและขว้างระเบิดใส่เพื่อฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ดังฟ้องหรือไม่ ส่วนฎีกาเพิ่มเติมของจำเลยลงวันที่ 9 มีนาคม 2530 ยื่นเลยกำหนดศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเพิ่มเติมไว้จึงไม่ชอบและศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ได้ความจากจ่าสิบตำรวจสงกรานต์ วรานุชพิทักษ์ พยานโจทก์ว่าเมื่อพยานพร้อมด้วยจ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ สิบตำรวจตรีสุครีพสิบตำรวจตรีสุบิน พลตำรวจคำพล และพลตำรวจวสินทร์ ไปถึงบ้านพี่สาวของจำเลยก็เห็นจำเลยอยู่ที่เถียงนา (กระท่อมนา) ในระยะห่างประมาณ 100 เมตร จำเลยวิ่งหนี พยานกับพวกไล่ติดตามทิ้งระยะห่างจำเลยประมาณ 50 เมตรบ้าง 10 เมตรบ้าง จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยกเล็งมาทางพยานและพวก พยานกับพวกได้หยุดไล่ เมื่อจำเลยวิ่งหนีไปอีกพวกพยานไล่ตาม ก็ถูกจำเลยใช้อาวุธปืนจ้องเล็งมายังพวกพยานอีกนั้น เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่ชุดแรกประกอบด้วยจ่าสิบตำรวจสงกรานต์กับพวกติดตามจับกุมจำเลยแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดหลังตามไปสมทบอีกถึง 20 คนและใช้อาวุธปืนยิงขู่ขณะจับกุมจำเลยด้วย แต่พลตำรวจวิรัตน์เอื้อการกับสิบตำรวจเอกสาโรจน์ ศรีละคร พยานโจทก์ที่ตามไปภายหลังและไล่จับกุมจำเลยกลับไม่เห็นจำเลยใช้อาวุธปืนจ้องเล็งมายังพวกเจ้าหน้าที่ ต่อเมื่อพลตำรวจวิรัตน์ไล่ไปห่างจำเลยประมาณ10 เมตร จึงถูกจำเลยขว้างลูกระเบิดใส่ ลูกระเบิดตกห่างพลตำรวจวิรัตน์เพียง 1 วา แต่ลูกระเบิดไม่ระเบิด ทำให้สงสัยว่าจำเลยมีลูกระเบิดและขว้างลูกระเบิดใส่เจ้าหน้าที่หรือไม่ เพราะลูกระเบิดหากระเบิดขึ้นมีอำนาจทำลายรุนแรงซึ่งผลการตรวจพิสูจน์ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 มีรัศมีทำลายฉกรรจ์ถึง 15 เมตร ถ้าจำเลยขว้างลูกระเบิดใส่ผู้เสียหายให้ตกใกล้จำเลยเช่นนั้น จำเลยอาจได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งจำเลยคงจะไม่กระทำ พลตำรวจวิรัตน์ กับร้อยตำรวจโทชัชวาลก็มิได้แสดงอาการตกใจหรือป้องกันตนตามสัญชาติญาณพลตำรวจวิรัตน์กลับคว้าเก็บลูกระเบิดยื่นส่งให้ร้อยตำรวจโทชัชวาลที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ให้ปาลงไปในสระน้ำเมื่อร้อยตำรวจเอกดำรง ไชยประมง มาถึงที่เกิดเหตุได้ประกาศให้จำเลยมอบตัวจำเลยก็ออกมาให้จับกุมโดยดี ร้อยตำรวจโทชัชวาลจึงให้จำเลยพาไปค้นหาอาวุธปืนและกระสุนปืนได้ที่พงหญ้าบริเวณเกิดเหตุ หากจำเลยมีเจตนาฆ่าจำเลยน่าจะกระทำตั้งแต่เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนยิงขู่ ซึ่งพยานโจทก์ก็รับว่าจำเลยยกอาวุธปืนจ้องเล็งมาแล้วหลายครั้ง แต่จำเลยก็ไม่ได้ยิง จึงไม่มีเหตุที่จะต้องใช้ลูกระเบิดขว้างใส่เจ้าหน้าที่อีก จำเลยได้ปฏิเสธแต่แรกว่าจำเลยไม่มีลูกระเบิดไว้ในครอบครอง หลังเกิดเหตุถึง 3 วันเมื่อจ่าสิบเอกบัวไล ขันธ์ละไปงมลูกระเบิดได้จากสระน้ำ ร้อยตำรวจโทชัชวาลก็ไม่รู้เรื่องทั้งพลตำรวจวิรัตน์และร้อยตำรวจโทชัชวาลก็ไม่เห็นลูกระเบิดหรือยืนยันว่าเป็นลูกระเบิดที่จำเลยใช้กระทำผิด พยานโจทก์ที่นำสืบต่างเป็นเจ้าหน้าที่เช่นผู้เสียหาย อาจเบิกความเป็นประโยชน์และสนับสนุนฝ่ายตน ทั้งขณะเกิดเหตุมีประชาชนมุงดูเหตุการณ์เป็นจำนวนนับร้อยน่าจะนำมาสืบสนับสนุนบ้าง พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบยังไม่มั่นคงพอที่จะให้รับฟังว่าจำเลยมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองและขว้างลูกระเบิดเพื่อฆ่าผู้เสียหาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยขว้างลูกระเบิดใส่เพื่อฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น สำหรับความผิดฐานมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย จำเลยมิได้อุทธรณ์ไว้ก็ตาม แต่เมื่อมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยขว้างระเบิดเพื่อพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ และข้อเท็จจริงไม่พอรับฟังว่าจำเลยมีลูกระเบิดเสียแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานความผิดมีลูกระเบิดไว้ในครอบครอง และฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่นั้นเสีย การนับโทษต่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share