คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายชั้นชี้สองสถาน ศาลกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดและปูโฉนด แต่เจ้าพนักงานไม่สามารถปูโฉนดแนวเขตได้ ได้แต่ทำรูปแผนที่กระดาษส่งศาล คู่ความแถลงขอให้ศาลชี้ขาด เมื่อศาลเห็นว่าแผนที่ดังกล่าวทับกันไม่สนิท ไม่อาจใช้แผนที่ชี้ขาดได้ว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ จึงวินิจฉัยคดีว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน แต่โจทก์ไม่สืบพยานจึงต้องแพ้คดี พิพากษายกฟ้อง เช่นนี้ถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่3758 ตำบลบางหลวง อำเภอเมืองปทุมธานี เนื้อที่ 52 ไร่เศษ จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17 ซึ่งติดต่อกับที่ของโจทก์ เมื่อปี พ.ศ. 2516 จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ 2 ไร่เศษ ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองไม่ให้บุกรุกเข้าไปในที่ดินโจทก์ และเรียกค่าเสียหาย 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่เคยบุกรุกที่ดินของโจทก์ค่าเสียหายไม่เกิน 500 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า’…ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วปรากฏจากท้องสำนวนว่า โจทก์ฟ้องว่าที่ดินจำเลยทั้งสองอยู่ติดที่ดินโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกจำเลยทั้งสองรุกล้ำเข้าทำนาในที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่ามิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นชี้สองสถาน กำหนดประเด็นว่า1. จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ และ 2. ค่าเสียหายของโจทก์ให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ คู่ความขอให้พนักงานที่ดินทำการรังวัดและปูโฉนดที่ดินเลขที่ 3758ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ กับโฉนดเลขที่ 17 ซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยทั้งสอง โดยโจทก์และจำเลยเป็นผู้นำชี้ ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งต่อศาลว่า โฉนดที่ดินของคู่ความนี้แต่ละโฉนดหลักฐานแผนที่ไม่มั่นคงพอ จึงไม่สามารถจะปูแนวเขตโฉนดให้ได้ แต่ได้แสดงแนวเขตไว้ในรูปแผนที่กระดาษบาง ซึ่งส่งศาล 3 ฉบับ และในวันนัดพร้อมคู่ความได้ดูแผนที่กระดาษบาง 3 ฉบับดังกล่าวแล้ว คู่ความร่วมกันแถลงว่า ให้ศาลชี้ขาดตัดสินคดีไปตามรูปคดีจากหลักฐานในสำนวนและแผนที่ตามวิธีพิจารณาความโดยจำเลยรับต่อโจทก์ว่า หากศาลฟังว่าจำเลยบุกรุกละเมิดสิทธิของโจทก์ จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง โจทก์กับจำเลยไม่สืบพยาน เช่นนี้ ที่โจทก์ฎีกาขอให้มีการปูโฉนดโดยอ้างว่า เมื่อไม่มีการปูโฉนดก็ถือไม่ได้ว่าได้มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามคำขอของโจทก์จำเลยที่ให้มีการปูโฉนดนั้น เห็นว่า เมื่อในวันนัดพร้อมโจทก์ทราบแล้วว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถปูโฉนดแนวเขตได้ คงมีแต่รูปแผนที่กระดาษบาง 3 ฉบับ ซึ่งคู่ความได้ดูแล้วแถลงไม่สืบพยาน ให้ศาลตัดสินคดีไปตามรูปคดีดังกล่าวมาข้างต้นอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ จึงผูกพันคู่ความหรือโจทก์ตามคำแถลงนั้น ซึ่งตามคำแถลงดังกล่าวแสดงว่า โจทก์สละหรือถอนคำขอที่ให้มีการปูโฉนดแนวเขตที่เคยขอไว้ และไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไป แต่ให้ศาลพิพากษาคดีไปซึ่งศาลก็ได้พิพากษาคดีจากหลักฐานในสำนวนและแผนที่ ตามวิธีพิจารณาความ ตามคำแถลงร่วมของคู่ความแล้ว โดยวินิจฉัยว่าแผนที่ทับกันไม่สนิท ไม่อาจใช้แผนที่ชี้ขาดได้ว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ จึงต้องพิเคราะห์ตามภาระการพิสูจน์ เมื่อโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน โจทก์ไม่สืบพยาน จึงต้องแพ้คดี อันเป็นการชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว โจทก์จึงไม่อาจขอให้มีการปูโฉนดอีกได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share