คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6351/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และครอบครองทำกินในที่ดินพิพาท ได้นำที่ดินไปจำนองแก่โจทก์ แม้ต่อมาผู้ร้องได้เข้าแย่งการครอบครองในที่ดินพิพาทจนได้สิทธิดีกว่าจำเลยก็ตามแต่ก็เป็นเวลาหลังจากที่จำเลยได้จำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงไม่เป็นเหตุให้สัญญาจำนองระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 นอกจากนี้การจำนองก็เป็นทรัพย์สิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์ที่จำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 วรรคสอง โจทก์ผู้รับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีได้ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ดินพิพาท แม้ผู้ร้องได้ยกขึ้นกล่าวอ้างเป็นประเด็นไว้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นคนละแปลงกับที่ดินที่โจทก์นำยึด แต่ต่อมาได้แถลงสละประเด็นเองโดยสมัครใจ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และทำให้ประเด็นดังกล่าวยุติไปแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้และดอกเบี้ยพร้อมค่าฤชาธรรมเนียม หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาด จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำยึดที่ดินที่จำนอง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 266 และ 267ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องโดยซื้อมาจากนายสม แดงสด เมื่อประมาณ7 ปีมาแล้ว น.ส.3 ทั้งสองฉบับเป็นเอกสารปลอม เพราะที่ดินตามน.ส.3 ทั้งสองแปลงนั้นอยู่ที่หมู่ที่ 1 แต่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของผู้ร้องที่หมู่ที่ 4 จึงเป็นที่ดินคนละแปลงกัน ขอให้ถอนการยึดทรัพย์
โจทก์และจำเลยให้การในทำนองเดียวกันว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี 2509ต่อมาอีกประมาณ 2 ปี จำเลยทิ้งร้างไปเพราะการคมนาคมไม่สะดวกแล้วกลับเข้าครอบครองอีกในปี 2520 พบนายสม แดงสด จำเลยตกลงเสียเงินให้นายสมเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายของนายสมที่บุกเบิกหักร้างถางพงในที่ดิน ต่อมาในปี 2522 จำเลยไม่มีเงินชำระให้นายสมนายสมจึงขายที่ดินให้ผู้ร้องเมื่อปี 2523 การขายให้ผู้ร้องมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะเมื่อนายสมตกลงขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองให้จำเลยแล้ว นายสมย่อมไม่มีสิทธิขายให้ผู้ร้องอีกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยทั้งสองฉบับออกให้โดยทางราชการและนำไปจดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์ได้ เมื่อปี 2509 ยังไม่มีการแบ่งเขตหมู่บ้านอย่างชัดเจน แม้ผู้ครอบครองที่ดินมาแต่แรกก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ที่หมู่บ้านที่เท่าใด แต่ลักษณะของพื้นที่ดินตลอดจนที่ดินข้างเคียงเป็นที่ดินผืนเดียวกันขอให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องแถลงสละประเด็นที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่โจทก์นำยึด โดยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นบางส่วนของที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 266 และ 267
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยที่พิพาทคืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาผู้ร้องที่ว่า โจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทหรือไม่ เห็นว่า เดิมจำเลยมีชื่อใน น.ส.3 และครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทมาก่อน เมื่อจำเลยละทิ้งการครอบครองไปจนนายสม แดงสด เข้าไปครอบครองทำกิน ต่อมาปี 2518 นายสมตกลงให้จำเลยเข้าครอบครองทำกินตามเดิม จึงเป็นการครอบครองเพื่อจำเลยเองมิใช่อาศัยสิทธิของนายสม จำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยบริบูรณ์และครอบครองตลอดมาจนถึงปี 2521 จึงได้นำไปจำนองแก่โจทก์การจำนองจึงชอบด้วยกฎหมาย ครั้นปี 2523 ผู้ร้องจึงได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมา เป็นการเข้าแย่งการครอบครองจนได้สิทธิดีกว่าจำเลย หลังจากที่จำเลยได้จำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วการที่ผู้ร้องได้สิทธิครอบครองไม่เป็นเหตุให้สัญญาจำนองระงับสิ้นไปเพราะเหตุที่ทำให้สัญญาจำนองระงับมีปรากฏตามมาตรา 744 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และนอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 วรรคสอง ย่อมแสดงให้เห็นว่า การจำนองเป็นทรัพย์สิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์ที่จำนอง ผู้รับจำนองย่อมบังคับเอาแก่ตัวทรัพย์ที่จำนองได้ เมื่อโจทก์บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์ที่จำนอง แม้ผู้ร้องได้ครอบครองจนได้สิทธิดีกว่าจำเลย โจทก์เป็นผู้รับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีสิทธิยึดทรัพย์จำนองเพื่อบังคับคดีได้
ส่วนฎีกาผู้ร้องที่ว่า ผู้ร้องสละประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นคนละแปลงกับที่ดินที่โจทก์นำยึด เป็นการแถลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนั้น เห็นว่าประเด็นดังกล่าวแม้ผู้ร้องได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในเบื้องต้น แต่ต่อมาผู้ร้องแถลงขอสละประเด็นโดยสมัครใจ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และทำให้ประเด็นดังกล่าวยุติไปแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share