คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2040/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โดยไม่ได้แสดงเหตุว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นอย่างไร อันทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ คำให้การของจำเลยจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ บัญชีพยานโจทก์และคำแถลงที่โจทก์ยื่นภายหลังการยื่นฟ้องต่างระบุชื่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ทั้งทุนทรัพย์เกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ การที่โจทก์ระบุในใบแต่งทนายความว่าศาลแขวงพระนครใต้และระบุในหนังสือมอบอำนาจให้ ธ. เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงพระนครใต้จึงเป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อย ทั้งจำเลยให้การต่อสู้ว่า พ. ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ ธ. ฟ้องจำเลย ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจ ไม่ใช่ลายมือชื่อของ พ. และ ธ. ไม่ได้ให้การต่อสู้ถึงเขตอำนาจศาลแต่อย่างใด ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขคำฟ้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขชื่อศาลในใบแต่งทนายความและในหนังสือมอบอำนาจได้ แม้จะเป็นการขอแก้ไขหลังวันสืบพยานโจทก์และมิได้มีการส่งสำเนาคำร้องให้แก่จำเลย เพราะเป็นการแก้ไขตรงกับข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้และเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย
โจทก์ประกอบการค้ากระดาษและวัตถุสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ จำเลยประกอบกิจการโรงพิมพ์และค้าขายกระดาษ หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ค่าซื้อกระดาษที่นำมาใช้ในกิจการของจำเลย การซื้อขายดังกล่าวมีลักษณะเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง เข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย จึงมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ระหว่างเดือนมกราคม 2539 ถึงเดือนมีนาคม 2539 จำเลยทั้งสองร่วมกันซื้อกระดาษและวัสดุการพิมพ์จากโจทก์ 5 ครั้ง เป็นเงินรวม 952,991.22 บาท โจทก์ส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองครบถ้วน แต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,140,083.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 952,991.22 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากนายไพรัชมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และลายมือชื่อผู้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีก็เป็นลายมือปลอม คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันครบกำหนดชำระค่าสินค้าในแต่ละคราว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 952,991.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 288,061.12 บาท นับแต่วันที่ 19 มีนาคม 2539 ของต้นเงิน 161,035 บาท นับแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2539 ของต้นเงิน 89,858.60 บาท นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2539 ของต้นเงิน 344,754 บาท นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2539 ของต้นเงิน 69,282.50 บาท นับแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมทำให้จำเลยที่ 1 ไม่เข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ โดยไม่ได้แสดงเหตุว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นอย่างไร อันทำให้จำเลยที่ 1 ไม่เข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ คำให้การของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง ขอแก้ไขชื่อศาลในใบแต่งทนายความและในหนังสือมอบอำนาจจากศาลแขวงพระนครใต้เป็นศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต โดยมิได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยที่ 1 และไม่ได้สอบถามจำเลยที่ 1 เสียก่อนว่าจะคัดค้านหรือไม่ เป็นการไม่ชอบและไม่อาจกระทำได้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ บัญชีพยานโจทก์และคำแถลงที่โจทก์ยื่นภายหลังการยื่นฟ้องต่างระบุชื่อ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ทั้งทุนทรัพย์คดีนี้เกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ จึงแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ การที่โจทก์ระบุในใบแต่งทนายความว่าศาลแขวงพระนครใต้และระบุในหนังสือมอบอำนาจให้นายธานินทร์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยต่อศาลแขวงพระนครใต้จึงเป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อย ทั้งจำเลยที่ 1 ให้การว่า นายไพรัชมิได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และโจทก์มิได้มอบอำนาจให้นายธานินทร์เป็นผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีจำเลยที่ 1 ต่อศาลนี้ ลายมือชื่อในสำเนาหนังสือมอบอำนาจมิใช่ลายมือชื่อของนายไพรัชผู้มอบอำนาจและลายมือชื่อของนายธานินทร์ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ในสาระสำคัญว่า นายไพรัชไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายธานินทร์ฟ้องจำเลยที่ 1 ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจ ไม่ใช่ลายมือชื่อของนายไพรัชและนายธานินทร์ ไม่ได้ให้การต่อสู้ถึงเขตอำนาจศาลแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขคำฟ้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขตามคำร้องได้ แม้จะเป็นการขอแก้ไขหลังวันสืบพยานโจทก์และมิได้มีการส่งสำเนาคำร้องให้แก่จำเลยที่ 1 เพราะเป็นการแก้ไขตรงกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้และเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย จึงถือมิได้ว่าทำให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบในทางคดี เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขใบแต่งทนายความและหนังสือมอบอำนาจเกี่ยวกับชื่อศาลแล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจรับฟังใบแต่งทนายความและหนังสือมอบอำนาจที่แก้ไขใหม่ได้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ประกอบการค้ากระดาษและวัตถุสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการโรงพิมพ์และค้าขายกระดาษ หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ค่าซื้อกระดาษ ที่นำมาใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 การซื้อขายดังกล่าวมีลักษณะเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง เข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย จึงมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (5) หนี้ตามฟ้องครบกำหนดชำระในวันที่ 19 มีนาคม 7 พฤษภาคม 14 พฤษภาคม 19 พฤษภาคม และวันที่ 14 มิถุนายน 2539 นับถึงวันฟ้อง คือวันที่ 21 เมษายน 2542 ยังไม่เกิน 5 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000 บาท แทนโจทก์.

Share