คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6312/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมจะระบุว่าผู้ร้องกับพวกจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกให้เสร็จภายในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีอีกเรื่องหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีนั้นและออกคำบังคับโดยวิธีปิดหมายซึ่งจะมีผลบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาต่อเมื่อกำหนด 15 วันได้ล่วงพ้นไปแล้วดังนี้ เมื่อผู้ร้องได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่คำบังคับมีผล จึงถือว่าผู้ร้องได้ปฏิบัติตามกำหนดเวลาในสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์และจำเลยทั้ง 12 คน ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน มีข้อตกลงในข้อแรกว่า จำเลยทั้ง 12 คนซึ่งมีผู้ร้องรวมอยู่ด้วย ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยแต่ละคนออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1374/2529 ของศาลชั้นต้นถ้าหากคดีแพ่งดังกล่าวยังไม่ได้มีคำพิพากษาภายในเดือนธันวาคม 2530 แล้ว จำเลยทั้ง 12 คนก็ยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยแต่ละคนออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 2 ธันวาคม 2530 และข้อที่ 2มีใจความว่าหากจำเลยทั้ง 12 คน ไม่ปฏิบัติตามสัญญาในข้อ 1 แล้วยินยอมให้โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยแต่ละคนได้เดือนละ3,000 บาท นับแต่วันครบกำหนดตามเงื่อนไขในสัญญา ข้อ 1 จนกว่าจำเลยทั้ง 12 คน จะรื้อถอนและออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วต่อมาวันที่ 29 พฤศจิกายน 2530 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านไม่มีเลขที่ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ร้อง เพื่อชำระค่าเสียหายอ้างว่าผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โดยได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2530โจทก์จึงไม่มีอำนาจยึดบ้านของผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างภายในวันที่ 4 พฤษภาคม 2530 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1374/2529 คดีหมายเลขแดงที่ 484/2530 และมิได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย จึงถือว่าผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ3,000 บาท นับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2530 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของผู้ร้องดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดไต่สวนคำร้อง และวินิจฉัยว่า ตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ไม่มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของผู้ร้อง พิพากษาให้ปล่อยทรัพย์คืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้ว พิพากษาให้ปล่อยบ้านที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ผู้ร้องกับพวกตกลงจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปภายในวันที่ 2 ธันวาคม 2530 หากศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษา คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1374/2529 ภายในเดือนธันวาคม2530 ก็ตาม แต่ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นจะพิพากษาเมื่อใด ทั้งโจทก์และผู้ร้องกับพวกตกลงให้ผู้ร้องกับพวกรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างเป็นจำนวนหลายหลังซึ่งต่างย่อมทราบดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะกระทำการเสร็จสิ้นภายในวันเดียวได้มิเช่นนั้น เมื่อศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ผู้ร้องกับพวกปฏิบัติตามคำสั่งภายใน 15 วัน โจทก์ก็น่าจะคัดค้านว่าหมายบังคับคดีขัดกับข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความการจะตีความดังโจทก์ว่า ผู้ร้องกับพวกจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้เสร็จภายในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวแล้วจึงเป็นการตีความในทางที่ผู้ร้องและพวกไม่อาจจะกระทำได้ ที่โจทก์ว่าผู้ร้องกับพวกคิดจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่แรกก็ขัดกับข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ว่าจะยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปภายในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีดังกล่าวและหากผู้ร้องกับพวกคิดจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างมาแต่แรกจริงผู้ร้องกับพวกก็น่าจะตกลงวันที่ ระยะเวลาในการรื้อถอนและกำหนดวันรื้อถอนให้เสร็จสิ้นเป็นที่แน่นอนกับโจทก์เสียเลยทีเดียวไม่น่าจะต้องรอศาลชั้นต้นพิพากษาคดีดังกล่าวอีก แต่กลับแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องกับพวกตกลงว่าถ้าหากคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเมื่อใดก่อนเดือนธันวาคม 2530 แล้ว ผู้ร้องกับพวกจะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว มีปัญหาต่อไปว่า ผู้ร้องได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วหรือไม่ ได้ความจากผู้ร้องว่าได้เริ่มขนของออกจากบ้านและรื้อบ้านเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2530เสร็จในวันที่ 9 มิถุนายน 2530 เมื่อรื้อแล้วนำไปปลูกที่หมู่ที่ 3ตำบลบางตลาด ซึ่งอยู่คนละฝั่งคลอง ก่อนและหลังรื้อบ้านขนของออกไปนั้น ผู้ร้องไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ นายศิริ ถาวร และนายบัวต่ำแดง พยานผู้ร้องต่างได้เบิกความยืนยันว่าผู้ร้องได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ในวันที่ 9 มิถุนายน 2530 แล้วส่วนโจทก์และพยานโจทก์ว่าผู้ร้องรื้อเฉพาะหลังคาบ้านเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2530 และได้อ้างภาพถ่ายมาด้วยนั้น แต่กลับปรากฏว่ามีเฉพาะต้นไม้ เศษอิฐเท่านั้น ทั้งสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้กำหนดรายละเอียดว่าสภาพเรียบร้อยนั้นหมายถึงสภาพเรียบร้อยเพียงใด ประกอบกับได้ความจากโจทก์ว่า หลังจากโจทก์ชนะคดีนายสมานแล้ว โจทก์ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้โดยโอนขายบางส่วนและกำลังดำเนินการแบ่งแยกโฉนด แสดงว่าโจทก์ประสงค์ต้องการขับไล่ผู้อยู่บนที่ดินเดิมออกเพื่อจะแบ่งขายหรือจัดสรรทำประโยชน์อย่างอื่นเท่านั้น การที่ผู้ร้องรื้อถอนบ้านออกไปจนหมดแล้วคงเหลือเฉพาะกองเศษอิฐย่อมไม่ทำให้โจทก์เสียหายจากสภาพที่เหลือดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นการส่งมอบในสภาพเรียบร้อยแล้วพยานหลักฐานของผู้ร้องฟังได้ว่า ผู้ร้องได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์เสร็จตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2530 แล้วดังนั้น ที่โจทก์ว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่าผู้ร้องกับพวกจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกให้เสร็จภายในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษานั้น เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาและออกคำบังคับโดยวิธีปิดหมายซึ่งจะมีผลบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาดังกล่าวภายในวันที่ 29 มิถุนายน 2530 เมื่อผู้ร้องได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปเสร็จเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2530 ผู้ร้องได้ปฏิบัติตามกำหนดเวลาในคำบังคับแล้วและตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share