คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5654/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้จากสัญญากู้เงินเพื่อซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามป.พ.พ. มาตรา 164 โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยโดยอาศัยมูลหนี้จากเงินค่าที่โจทก์ได้ออกทดรองจ่ายซื้อหุ้นคืนซึ่งมีอายุความ 2 ปี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ต้นเงินโจทก์เป็นเงิน 213,226.43บาท เป็นหนี้ดอกเบี้ยเป็นเงิน 247,535.44 บาท รวมเป็นเงิน460,761.87 บาท โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยรวมสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยเพิกเฉย จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินหรือเพิ่มวงเงินกู้ไม่ว่าครั้งใดกับโจทก์ และไม่เคยได้รับเงินจากโจทก์ สัญญากู้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3, 4 และ 5 เป็นนิติกรรมอำพราง แท้จริงโจทก์จำเลยมีนิติสัมพันธ์ในฐานะตัวแทนตัวการ โจทก์จะฟ้องจำเลยในฐานะผิดสัญญาตัวแทนไม่ได้ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องภายในกำหนดอายุความ 2 ปีคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 15
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2521 จำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์เพื่อให้โจทก์นำเงินที่จำเลยกู้นั้นซื้อหุ้นและขายหุ้นแทนจำเลยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ครั้งแรกในวงเงิน 165,000 บาท ต่อมาวันที่ 16 พฤศจิกายน 2521 และวันที่ 24 พฤศจิกายน 2521 จำเลยทำสัญญาเพิ่มวงเงินกู้เป็น 500,000 บาท และ 660,000 บาท ตามลำดับรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.28 ถึง จ.30 หลังจากจำเลยทำสัญญากู้เงินดังกล่าวแล้ว จำเลยได้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นและขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทนจำเลยหลายครั้ง ปรากฏว่าบางครั้งจำเลยได้กำไร บางครั้งก็ขาดทุน เมื่อคิดถึงวันที่ 20 เมษายน 2530หลังจากโจทก์หักหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและขายหุ้นของจำเลยที่เหลือทั้งหมดชำระหนี้แล้ว โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นหนี้ต้นเงินโจทก์อยู่213,226.43 บาท และดอกเบี้ยอีก 247,535.44 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 460,761.87 บาท รายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.35 ถึง จ.38โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ไม่น้อยกว่าสองครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์คงมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยดังนี้คือ…คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้จากสัญญากู้เงินเพื่อซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 โจทก์หาได้ฟ้องจำเลยโดยอาศัยมูลหนี้จากเงินค่าที่โจทก์ได้ออกทดรองจ่ายซื้อหุ้นคืน และมีอายุความ 2 ปีดังที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด เมื่อนับจากวันที่จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปแต่ละฉบับถึงวันที่ 27 สิงหาคม2530 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยยังไม่เกิน 10 ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความและไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินหักชำระหนี้แทนจำเลยไปนั้น ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรคดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความอยู่แล้ว…”
พิพากษายืน.

Share