แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 เอามีดจี้คอจำเลยที่ 2 นั้น ผู้ที่ประสบเหตุการณ์อยู่ในฐานะอย่างจำเลยที่ 2 คงไม่มีจิตใจที่จะพิเคราะห์ว่า จำเลยที่ 1 จะแทงจริงหรือไม่ย่อมต้องดิ้นรนให้พ้นเหตุการณ์นั้น การที่จำเลยที่ 2 ชกจำเลยที่ 1 ไปทีเดียวในภาวะเช่นนี้นับเป็นการกระทำเพื่อป้องกันให้ตนพ้นอันตรายเท่านั้น หาได้มีเจตนาทำร้ายหรือสมัครใจวิวาทกับจำเลยที่ 1 ไม่ แม้ในเหตุการณ์ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ฆ่า ร. ตายด้วย จำเลยที่ 2 ก็หามีความผิดฐานชุลมุนต่อสู้กันและมีคนถึงแก่ความตายไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 และนายราชันต์ อีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และจำเลยที่ 1ได้ใช้อาวุธมีดแทงนายราชันต์โดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้นายราชันต์ถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ 2 และนายราชันต์ได้ใช้กำลังประทุษร้ายเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294, 288, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 294 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 18 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 294 จำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด12 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 1 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กระทงเดียว ให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 18 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 12 ปี ข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้ตายได้ใช้แก้วขว้างหน้าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ชกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย…สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2ตามฟ้องของโจทก์นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 โดยชกจำเลยที่ 1 เพียงทีเดียวเหตุที่จำเลยที่ 2 ชกจำเลยที่ 1 นั้น ก็ปรากฏตามฎีกาของโจทก์ว่าเพราะจำเลยที่ 1 กอดคอของจำเลยที่ 2 แล้วเอามีดจี้คอจำเลยที่ 2ซึ่งโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 เอามีดจี้คอจำเลยที่ 2 เพื่อข่มขู่เท่านั้นหามีเจตนาจะแทงจำเลยที่ 2 ไม่ แม้ถูกจำเลยที่ 2 ชกเอาแล้วจำเลยที่ 1 ก็ยังมิได้แทงจำเลยที่ 2 แสดงว่าจำเลยที่ 1 มิได้เจตนาจะแทงจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 จะแทงจำเลยที่ 2 หรือไม่เป็นเรื่องในใจของจำเลยที่ 1 แต่กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาผู้ที่ประสบเหตุการณ์อยู่ในฐานะอย่างจำเลยที่ 2 คงไม่มีจิตใจที่จะพิเคราะห์ว่า จำเลยที่ 1 จะแทงจริงหรือไม่ ซึ่งย่อมต้องดิ้นรนให้พ้นเหตุการณ์นั้นก่อน การที่จำเลยที่ 2 ชกจำเลยที่ 1 ไปทีเดียวในภาวะเช่นนี้ นับว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันให้ตนพ้นอันตรายเท่านั้น หาได้มีเจตนาทำร้ายจำเลยที่ 1 หรือสมัครใจวิวาทกับจำเลยที่ 1 ไม่ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิด ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน.