คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5324/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันฉีกเอกสารตรงที่มีข้อความและลายมือชื่อผู้รับของในใบส่งของชั่วคราวซึ่งเป็นความผิดฐานทำลายเอกสารของโจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันซื้อสินค้าของโจทก์ไปตามรายการในเอกสารที่ถูกทำลายแล้วไม่ยอมชำระค่าสินค้าให้โจทก์ ซึ่งเป็นเรื่องฟ้องขอให้ชำระหนี้ค่าสินค้า ประเด็นในคดีทั้งสองจึงเป็นคนละประเด็นกันหาใช่ประเด็นในคดีนี้เป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วโดยตรงในคดีอาญาไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ก็เป็นเรื่องที่ฟังว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำผิดฐานทำลายเอกสาร โดยมิได้หมายความว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าสินค้าตามรายการในเอกสารที่ถูกทำลายให้แก่โจทก์แล้ว เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นแต่เพียงหลักฐานแห่งหนี้ หาใช่หลักฐานแห่งการชำระหนี้ไม่ การที่จะถือว่าคดีใดเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ข้อสำคัญต้องเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาเท่านั้น คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ดังนั้น การพิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาโดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าขายเสื้อผ้า กางเกงและอุปกรณ์การเล่นกีฬา จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันซื้อสินค้าไปจากโจทก์16 ครั้ง ในเดือนธันวาคม 2527 จำนวน 8 ครั้ง เป็นเงิน 184,034 บาทและเดือนมกราคม 2528 จำนวน 8 ครั้ง เป็นเงิน 67,320 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 251,354 บาทจำเลยรับสินค้าไปแล้ว แต่ยังไม่ชำระเงินให้โจทก์ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระค่าสินค้า 251,354 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2528 ถึงวันฟ้องเป็นค่าดอกเบี้ย 30,738 บาท รวมเป็นเงิน 282,092 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 282,092 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 251,354 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้อง16 รายการไปจากโจทก์จริง แต่เป็นการซื้อเชื่อมีเงื่อนเวลาชำระเงินให้โจทก์ภายใน 3 เดือน และได้ชำระราคาสินค้าให้โจทก์เมื่อวันที่15 มกราคม 2528 ในวันดังกล่าวมีการหักราคาและคืนสินค้าที่มีตำหนิเป็นกางเกงวอร์ม 76 ตัว ตัวละ 67 บาทเป็นเงิน 5,092 บาท และกางเกงขาสั้น 1 ตัว ตัวละ 26 บาท คงเหลือราคาสินค้าที่ต้องชำระเป็นเงิน178,916 บาท ได้ชำระเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาธนบุรี จำนวน4 ฉบับ ฉบับละ 44,729 บาท หนี้ค่าสินค้าตามฟ้องข้อ 2.1 ถึง 2.8จึงระงับไปแล้ว คงค้างชำระค่าสินค้าตามฟ้องข้อ 2.9 ถึง 2.16เท่านั้น
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยร่วมประกอบการค้ากับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นแม่บ้านไม่มีอาชีพค้าขาย การที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อในใบส่งของชั่วคราวฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2528 เป็นการทำแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 282,092บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 251,254 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1ได้ซื้อสินค้าตามฟ้องไปจากโจทก์รวม 16 รายการจริง และยังไม่ได้ชำระค่าสินค้ารายการตามฟ้องข้อ 2.9 ถึง 2.16 ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในชั้นนี้มีเพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าสินค้ารายการตามฟ้องข้อ 2.1 ถึง 2.8 ให้โจทก์แล้วหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อแรกว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในข้อหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำลายใบส่งของชั่วคราวตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4161/2528 หมายเลขแดงที่ 7494/2528 ของศาลอาญาธนบุรี และศาลฎีกาได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วโดยให้ยกฟ้องโจทก์ และฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้ค้างชำระค่าสินค้ายอดเดือนธันวาคม 2527 ซึ่งได้มีการฉีกใบส่งของชั่วคราวในส่วนลายมือชื่อผู้รับของออกแล้วนั้นเห็นว่า ในคดีอาญาดังกล่าว โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันฉีกเอกสารตรงที่มีข้อความและลายมือชื่อผู้รับของในใบส่งของชั่วคราวซึ่งเป็นความผิดฐานทำลายเอกสารของโจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันซื้อสินค้าของโจทก์ไปตามรายการในเอกสารที่ถูกทำลาย แล้วไม่ยอมชำระค่าสินค้าให้โจทก์ ซึ่งเป็นเรื่องฟ้องขอให้ชำระหนี้ค่าสินค้า ประเด็นในคดีทั้งสองจึงเป็นคนละประเด็นกัน หาใช่ประเด็นในคดีนี้เป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วโดยตรงในคดีอาญาดังกล่าวไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ก็เป็นเรื่องที่ฟังว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำผิดฐานทำลายเอกสาร โดยมิได้หมายความว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าสินค้าตามรายการในเอกสารที่ถูกทำลายให้แก่โจทก์แล้ว เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นแต่เพียงหลักฐานแห่งหนี้ดังที่เขียนระบุไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกา หาใช่หลักฐานแห่งการชำระหนี้ไม่ การที่จะถือว่าคดีใดเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้นข้อสำคัญต้องเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเฉพาะที่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาเท่านั้น คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ดังนั้น การพิจารณาพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้หยิบยกคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวในส่วนอาญามาพิจารณา เพราะศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ยังค้างชำระค่าสินค้าตามใบส่งของชั่วคราว โดยรับฟังผลคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ไปนั้น ศาลฎีกาได้ตรวจคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วปรากฏว่าที่ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ก็เพราะมีเหตุอื่น ๆ อีกหลายประการ หาใช่เชื่อโดยการรับฟังผลคดีอาญาของศาลชั้นต้นโดยตรงไม่ ฉะนั้น จะยกคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมารับฟังในคดีนี้ว่า ได้มีการชำระค่าสินค้าด้วยเช็ค 4 ฉบับเรียบร้อยแล้วหาได้ไม่ เพราะมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังที่วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ชำระค่าสินค้าตามฟ้องข้อ 2.1 ถึง 2.8 ให้โจทก์จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระค่าสินค้าตามฟ้องให้โจทก์
พิพากษายืน.

Share