แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จะบังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนระเบียงพิพาทได้ก็ต่อเมื่อจำเลยทั้งสามก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามป.พ.พ. มาตรา 1312 วรรคสอง แต่เมื่อจำเลยทั้งสามซื้อ ตึกแถว พร้อมระเบียงพิพาทที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว โดย ไม่ปรากฏ ว่า ระเบียงได้สร้างรุกล้ำโดยไม่สุจริต ต้องถือว่า จำเลย เป็น ผู้สืบสิทธิ ของ ผู้สร้างระเบียงพิพาทรุกล้ำที่ดินของโจทก์ โดยสุจริต โจทก์จึงมีสิทธิ เพียงแต่ จะ ได้ค่าใช้ที่ดินและยังมีหน้าที่ จดทะเบียนภาระจำยอมให้จำเลยทั้งสาม ด้วยทั้งนี้ โดยนัย ป.พ.พ. มาตรา 1312 วรรคแรก แต่โจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน เป็นค่าใช้ที่ดินของโจทก์ ศาลจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยใช้เงินดังกล่าวได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด เลขที่36932 เลขที่ดิน 134 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พร้อมตึกแถวสามชั้น เลขที่ 110/149 โดยซื้อมาจากนางสาวนิตยา แซ่จิว จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองตึกแถวเลขที่ 110/148 และจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองตึกแถวเลขที่ 110/145-147 ด้านหลังของตึกแถวของจำเลยทั้งสามติดกับที่ดินและตึกแถวของโจทก์ด้านทิศตะวันออก เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม2529 โจทก์ให้เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินของโจทก์ข้างต้นปรากฏว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นการละเมิดต่อโจทก์โดยก่อสร้างต่อเติมระเบียงออกจากหลังตึกดังกล่าวรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ทำให้น้ำฝนจากระเบียงตกลงมาแล้วกระเด็นเข้ามาในตึกแถวของโจทก์ และจำเลยทั้งสามยังปล่อยน้ำเสียเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนระเบียงที่ต่อเติมออกจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนแทนโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และห้ามจำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีก
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าวจากนายชูศิลป์ เสือสงวนศักดิ์ และไม่เคยต่อเติมระเบียงรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก่อนโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวโจทก์ก็ทราบอยู่แล้วว่า ตึกแถวของจำเลยทั้งสองมีระเบียง โจทก์สร้างรั้วกันไม่ให้จำเลยทั้งสองได้กระทำการป้องกันและแก้ไขมิให้น้ำฝนกระด็นถูกผนังตึกแถวของโจทก์ และจำเลยทั้งสองปล่อยน้ำเสียลงในท่อระบายน้ำที่นายชูศิลป์สร้างไว้ก่อนที่จำเลยจะซื้อตึกแถวจำเลยทั้งสองมิได้ปล่อยน้ำเสียเข้าไปในที่ดินของโจทก์
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศษลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาว่าระเบียงตึกแถวของจำเลยทั้งสามได้ก่อสร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ดังฟ้องหรือไม่ โจทก์มีแต่นายวิกรม หวังศิริ เจ้าพนักงานที่ดินมาเบิกความประกอบแผนที่ท้ายฟ้องว่า ระเบียงพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ แต่ก็มิได้นำสืบให้ชัดแจ้งไปกว่านั้น เป็นต้นว่า โจทก์มิได้แสดงภาพถ่ายหลักหมุดแสดงเขตที่ดิน หรือขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบดูหลักหมุดให้เห็นสมจริงดังพยานเบิกความ ซ้ำยังได้ความว่า ท่อระบายน้ำทิ้งเมื่อครั้งยังดีกันอยู่ โจทก์จำเลยทั้งามเคยช่วยกันซื้อฝามาปิดดูคล้ายกับว่าเป็นสมบัติร่วมกัน ท่อระบายน้ำโสโครกนี้ไม่น่าจะอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์แต่ผู้เดียว อย่างน้อยก็น่าจะอยู่ตรงแนวเขตระหว่างที่ดินโจทก์กับที่ดินจำเลยทั้งสาม เมื่อเป็นดังนี้จึงฟังไม่ได้ว่าระเบียงพิพาทตั้งอยู่ภายในเขตที่ดินของโจทก์ อย่างไรก็ตาม แม้หากจะได้มีการทำแผนที่พินพาทตามที่โจทก์ขอให้ฎีกาและผลปรากฏว่าระเบียงพิพาทบ้ำแนวเขตที่ดินของโจทก์จริง ก็ไม่อาจจะบังคับให้จำเลยทั้สามรื้อถอนตามคำขอของโจทก์ได้เพราะข้อเท็จจริงปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์แต่เพียงว่า ขณะโจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวของโจทก์จากนางนิตยา แซ่จิว นางนิตยาบอกโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามสร้างระเบียงรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์แสดงว่าขณะโจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวดังกล่าวระเบียงพิพาทที่โจทก์อ้างว่ารุกล้ำที่ดินของโจทก์ได้สร้างไว้ก่อนแล้ว โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้สร้างระเบียงพิพาทจริงหรือไม่โจทก์จึงนำสืบไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยทำการก่อสร้างระเบียงพิพาทโดยไม่สุจริตหรือให้นายชูศิลป์ เสือสงวนศักดิ์ ผู้รับเหมาทำการก่อสร้างระเบียงดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่ารุกล้ำแนวเขตที่ดินของโจทก์อันเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต โจทก์จะบังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนได้ก็ต่อเมื่อได้ความว่า จำเลยทั้งสามได้ทำการก่อสร้างระเบียงพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคสอง เท่านั้นแต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทั้งสามซื้อตึกแถวพร้อมระเบียงพิพาทที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว โดยไม่ปรากฏว่าระเบียงได้สร้างรุกล้ำโดยไม่สุจริตต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้สืบสิทธิของผู้สร้างระเบียงพิพาทรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยสุจริต โจทก์จึงมีสิทธเพียงแต่จะได้ค่าใช้ที่ดินและยังมีหน้าที่จดทะเบียนภาระจำยอมให้จำเลยทั้งสามด้วย ทั้งนี้ โดยนัยประมาลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312วรรคแรก แต่โจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินเป็นค่าใช้ที่ดินของโจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยใช้เงินดังกล่าวในชั้นนี้ได้…”
พิพากษายืน.