แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 และทนายโจทก์ทั้งสองทราบวันสุดท้ายที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ก็ชอบที่จะขวนขวายชำระหรือขอขยายระยะเวลาวางค่าธรรมเนียม การที่โจทก์ที่ 1 และทนายโจทก์ทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมศาลเพิ่มไปชำระต่อศาลเมื่อเลยเวลาราชการไปประมาณ 30 นาทีและเจ้าหน้าที่ศาลไม่ได้รับไว้ นับว่าเป็นความผิดของฝ่ายโจทก์เอง จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขอไถ่ที่ดิน ซึ่งได้ขายฝากไว้แก่จำเลยอ้างว่าจำเลยบิดพลิ้วไม่ยอมให้ไถ่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยเสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ไถ่ที่ดินคืนภายในเวลาที่กำหนดที่ดินจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ จึงมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนราคาทรัพย์ที่กล่าวอ้างในฟ้องภายในกำหนด 10 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง
โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นคนยากจน ไม่มีเงินพอที่จะเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มได้และคดีของโจทก์มีทางชนะจำเลยได้ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งงดเรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มจากโจทก์จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ทั้งสองไม่ยากจนและมีเงินพอที่จะเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มได้ หากโจทก์ไม่มีเงินเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเพียง 35,000 บาทแล้ว โจทก์จะมีเงินมาขอไถ่ที่ดินพิพาทจากจำเลยจำนวน 1,484,000 บาท ได้อย่างไร
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ทั้งสองหากโจทก์ทั้งสองยังติดใจจะดำเนินคดีก็ให้นำค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
โจทก์ทั้งสองไม่นำค่าขึ้นศาลเพิ่มมาชำระภายในกำหนด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า ไม่จงใจทิ้งฟ้อง ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองวางค่าขึ้นศาลเพิ่มแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ทิ้งฟ้องย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้อง รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีมาภายหลังยื่นคำฟ้อง ทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำฟ้องเลย กรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของโจทก์ไว้ทำการไต่สวนและมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้น ไต่สวนคำร้องฉบับดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองแล้วมีคำสั่งว่า ตามทางไต่สวนไม่ใช่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัย จึงให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…แม้จะได้ความว่า เมื่อวันที่ 4สิงหาคม 2529 มีฝนตกบริเวณเขตมีนบุรีและเขตต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครแต่ตามคำเบิกความของเรือตรีโกมล บุญเปี่ยม ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยาในวันดังกล่าวและนายนเรศ อ่อนแตง หัวหน้าแผนกบริการระบบจำหน่ายการไฟฟ้านครหลวง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครพยานจำเลยซึ่งไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียในคดีก็พอเชื่อถือได้ว่าในวันดังกล่าวมีฝนตกตามธรรมชาติเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคในการเดินทางระหว่างเส้นทางดังกล่าว และจะเห็นได้ว่าทนายโจทก์ทั้งสองไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งทนายโจทก์ทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลอ้างเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 10 แต่ประการใด นอกจากนี้โจทก์ที่ 1และทนายโจทก์ทั้งสองก็รับว่าทราบว่าวันที่ 4 สิงหาคม 2529 เป็นวันสุดท้ายที่อาจชำระค่าธรรมเนียมศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะขวนขวายติดต่อหรือนัดหมายชำระค่าธรรมเนียมหรือขอขยายระยะเวลาวางค่าธรรมเนียมแต่เนิ่น ๆ แต่กลับปรากฏว่า โจทก์ที่ 1ซึ่งรับว่าบ้านพักอยู่ห่างศาลจังหวัดมีนบุรีเพียง 6-7 กิโลเมตรกลับละเลยไม่นำเงินซึ่งมีอยู่แล้วไปชำระ และไม่ปรากฏว่าทนายโจทก์ทั้งสองได้เร่งรัดให้ตัวความไปชำระแต่อย่างใด การที่โจทก์ที่ 1และทนายโจทก์ทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมศาลเพิ่มไปชำระต่อศาลจังหวัดมีนบุรี เมื่อเลยเวลาราชการไปประมาณ 30 นาที และเจ้าหน้าที่ศาลไม่ได้รับไว้นับว่าเป็นความผิดของฝ่ายโจทก์เองจะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยนั้นไม่ชอบด้วยความเป็นธรรมแก่คดี…”
พิพากษายืน.