แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรู้เห็นยินยอมให้โจทก์เอาดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายรวมกับต้นเงินกรอกลงในสัญญากู้ สัญญากู้จึงไม่เป็นเอกสารปลอมการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ผิดกฎหมาย แต่การคิดดอกเบี้ยเป็นความผิดตามกฎหมายต่างหาก ซึ่งแยกออกจากกันได้โดยถือว่าคู่กรณีไม่ประสงค์จะให้ต้นเงินสูญไปด้วย ต้นเงินเป็นส่วนที่สมบูรณ์ สัญญากู้ไม่เป็นโมฆะทั้งฉบับ น.ส.3 ที่จำเลยมอบให้โจทก์ไว้เป็นประกันการกู้ยืม ไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเพราะไม่ใช่เอกสารที่แสดงในตัวเองว่ามีการกู้ยืมเงินกัน การที่โจทก์คืน น.ส.3 ดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการเวนคืนหลักฐานแห่งการกู้ยืม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ 26,000 บาท แต่ไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญา คิดถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์ต้นเงิน 26,000 บาท ดอกเบี้ย 5,037.50 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 31,037.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ 26,000 บาท และไม่เคยทำสัญญากู้เงิน 26,000 บาท แต่อย่างใด สัญญากู้ท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม เมื่อปลายปี 2527 จำเลยกู้เงินโจทก์ 13,000 บาทโจทก์ยึด น.ส.3 ของจำเลยไว้เป็นหลักประกัน กับโจทก์ให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้ในสัญญากู้ซึ่งไม่ได้กรอกข้อความ ซึ่งจะใช่สัญญากู้ท้าย ฟ้องหรือไม่ไม่รับรอง หลังจากนั้น 6 เดือน จำเลยได้นำเงิน15,000 บาท ไปชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์คือ น.ส.3 ให้จำเลยแล้วแต่ไม่ได้คืนกระดาษซึ่งมีลายมือชื่อจำเลย จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 13,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยรู้เห็นยินยอมให้เอาดอกเบี้ยรวมกับต้นเงินกรอกลงในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จึงไม่เป็นเอกสารปลอม ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่าโจทก์รวมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน เข้าเป็นต้นเงินกู้ในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 สัญญากู้จึงเป็นโมฆะทั้งฉบับนั้น เห็นว่าจำเลยให้การรับว่าได้กู้เงินโจทก์ 13,000 บาท การกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวหาเป็นการผิดกฎหมายไม่ แต่การคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นความผิดตามกฎหมายต่างหาก ซึ่งแยกการกู้เงินกับเรียกดอกเบี้ยออกต่างหากจากกันได้ โดยถือว่าคู่กรณีไม่ประสงค์จะให้ต้นเงินสูญไปด้วย ต้นเงิน 13,000 บาท ไม่ตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นส่วนทีสมบูรณ์แยกออกต่างหากจากการคิดดอกเบี้ยซึ่งเป็นส่วนที่ไม่สมบูรณ์ได้ สัญญากู้ไม่เป็นโมฆะทั้งฉบับ จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า การที่โจทก์คืน น.ส.3 ซึ่งจำเลยได้มอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักประกันเงินกู้นั้น เป็นการเวนคืนหลักฐานแห่งการกู้ยืมจึงต้องฟังว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยครบถ้วนแล้ว นั้นเห็นว่า น.ส.3 ดังกล่าวไม่ใช้หลีกฐานแห่งการกู้ยืม เพราะไม่ใช่เอกสารที่แสดงในตัวเองว่ามีการกู้ยืมเงินกันจึงจะฟังว่าจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้วไม่ได้
พิพากษายืน.