คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำสืบพยานก่อน และเมื่อสืบเสร็จแล้วก็แถลงหมดพยานจำเลยที่ 2 นำสืบพยานโดยขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังเช็คพิพาทด้วย ซึ่งกรณีขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนี้ เป็นเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จะขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งหลังจากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นแล้วไม่ได้ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาแม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ช่วยหาตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 2เพื่อส่งไปเปรียบเทียบในการตรวจพิสูจน์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวได้ดำเนินการโดยครบถ้วนจนทราบผลการตรวจพิสูจน์แล้ว จึงย่อมมีอำนาจไม่อนุญาตให้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนั้นซ้ำใหม่ตามที่โจทก์ขอได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเช็คและจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังชำระหนี้แก่โจทก์รวม 5 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,057,500 บาท เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงิน โจทก์ได้นำเช็คเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระต้นเงินจำนวน 2,057,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันเช็คถึงกำหนดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 32,612.67 บาท กับดอกเบี้ยในต้นเงิน 2,057,500บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับต่อจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์จะเป็นผู้ทรงเช็คที่ 5 ฉบับโดยชอบหรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ทราบ อีกทั้งโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ทราบว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คทั้ง 5 ฉบับ ทั้ง 5 ฉบับจำเลยที่ 2 มิได้เป็นผู้ลงลายมือชื่อสลักหลัง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์ รวมทั้งดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกมา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 2,090,112.67บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 2,057,500บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2ฟังไม่ได้ว่าเป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 7,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการนำสืบของจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2ขอให้ศาลส่งเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ พิสูจน์ลายมือชื่อด้านหลังเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับเปรียบเทียบกับลายมือชื่อในใบแต่งทนายของจำเลยที่ 2 ในคดีอื่นและลายเซ็นตัวอย่างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเซ็นต่อศาลจำนวน 20 ชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ โจทก์ไม่คัดค้านต่อมาศาลชั้นต้นได้จัดส่งลายเซ็นตัวอย่างที่จำเลยที่ 2 เซ็นต่อหน้าศาลจำนวน 4 หน้ากระดาษ สำเนาใบแต่งทนาย 2 ฉบับ ต้นฉบับสัญญาซื้อขาย สำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านสัญญาขายที่ดินและบันทึกต่อท้ายสัญญาไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ เพิ่มเติมตามที่ผู้เชี่ยวชาญมีหนังสือขอมา ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์เสร็จและแจ้งผลให้ศาลชั้นต้นทราบว่าลายมือชื่อด้านหลังเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับ กับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารตัวอย่างไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน หลังจากศาลชั้นต้นรับการแจ้งผลแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องว่ามีเอกสารบางฉบับที่ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานยังมิได้รับไปจากศาลชั้นต้นเพื่อประกอบการตรวจพิสูจน์ ขอให้ส่งหลักฐานดังกล่าวและหลักฐานเดิมไปตรวจพิสูจน์ใหม่อีกครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต หลังจากส่งไปแล้วทางกองพิสูจน์หลักฐานมีหนังสือแจ้งศาลชั้นต้นว่า แม้โจทก์ได้ส่งเอกสารตัวอย่างลายมือชื่อเพิ่มเติมมาขอให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์อีกครั้ง ก็ไม่อาจทำให้ผลการตรวจพิสูจน์เดิมมีผลเปลี่ยนแปลงไปแต่ประการใด เนื่องจากตัวอย่างลายมือชื่อในเอกสารเดิมที่นำไปทำการตรวจพิสูจน์สมบูรณ์เพียงพอแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าเมื่อทางกองพิสูจน์หลักฐานไม่ยอมตรวจพิสูจน์ใหม่ โจทก์จึงขอให้ผู้เชี่ยวชาญที่โจทก์อ้างทำการตรวจพิสูจน์ใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์ได้ยื่นคำแถลงคัดค้านต่อศาลชั้นต้น
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องของโจทก์ไม่อนุญาตให้โจทก์ขอให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังเช็คพิพาทว่าเป็นคำสั่งไม่ชอบนั้นเห็นว่า โจทก์ได้นำสืบพยานของโจทก์ก่อนและสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 โจทก์แถลงหมดพยานตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 แล้วศาลชั้นต้นนัดสืบพยานของจำเลยที่ 2 ในการนำสืบพยานของจำเลยที่ 2 นั้นจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังเช็คพิพาทด้วยปรากฏตามบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 7 กันยายน 2527และก่อนจะหมดพยานจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ของโจทก์ เพราะโจทก์ได้นำสืบพยานหลักฐานของโจทก์เสร็จสิ้นไปก่อนแล้ว โจทก์จะขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งหลังจากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นแล้วไม่ได้ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ช่วยหาตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 เพื่อส่งไปเปรียบเทียบในการตรวจพิสูจน์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวได้ดำเนินการโดยครบถ้วนจนทราบผลการตรวจพิสูจน์แล้ว จึงย่อมมีอำนาจไม่อนุญาตให้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนั้นซ้ำใหม่ตามที่โจทก์ขอได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทไว้ จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยนั้น ข้อนี้ ศาลฎีกาได้พิจารณาลายมือชื่อที่สลักหลักเช็คพิพาทที่โจทก์อ้างว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 เปรียบเทียบกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ที่เคยเซ็นไว้ในเอกสารอื่น ๆ ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ตามที่โจทก์และจำเลยที่ 2อ้างส่งต่อศาลชั้นต้นแล้ว เห็นว่า แตกต่างกันมาก และผู้เชี่ยวชาญก็ตรวจพิสูจน์แล้วได้ความว่า ลายมือชื่อที่สลักหลังเช็คพิพาทไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาท ดังนี้ จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.

Share