แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันออกตั๋วแลกเงินแล้วนำไปขายลดตั๋วเงินไว้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินไม่ได้ โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามตั๋วแลกเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ตามที่ได้ตกลงกันไว้กับโจทก์ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าการเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงดังกล่าวเรียกตามสัญญาขายลดตั๋วเงินนั่นเอง ทั้งท้ายฟ้องของโจทก์ยังได้แนบสำเนาสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินของจำเลยทั้งสองไว้อีกด้วย ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องบังคับฐานผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน ไม่ใช่ฟ้องบังคับตามตั๋ว แลกเงิน จึงนำบทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 963 และ 973มาใช้บังคับไม่ได้ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวการไม่ใช้เงินไปยังจำเลยที่ 2 ภายใน 4 วันก่อน โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน ดอกเบี้ยจึงต้องเป็นไปตามอัตราที่ตกลงไว้ จำเลยที่ 2 จะให้บังคับในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 968(2) ไม่ได้ จำเลยที่ 2 ผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน โจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามสัญญาซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2526จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัวร่วมกันออกตั๋วแลกเงินจำนวนเงิน 500,000 บาทลงวันที่ 6 ตุลาคม2526 สั่งบริษัทเรือขุกแร่จุตติ จำกัด จ่ายเงินให้แก่ธนาคารโจทก์สาขาบ้านนาสารภายในกำหนด 22 วัน นับแต่วันออกตั๋ว ต่อมาจำเลยทั้งสองนำตั๋วแลกเงินไปขายลดให้โจทก์ ครั้นตั๋วแลกเงินถึงกำหนดโจทก์ส่งไปให้ธนาคารโจทก์ สาขาภูเก็ต เรียกเก็บเงินจากบริษัทเรือขุดแร่จุตติ จำกัด แต่เรียกเก็บไม่ได้ จำเลยทั้งสองต้องใช้เงินคืนโจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 500,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2526 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2529 รวม 2 ปี 6 เดือน เป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน 218,750 บาท และในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 500,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2529 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 เดือน 15 วันเป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน 9,375 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินจำนวน 500,000 บาท และดอกเบี้ยที่ค้างจำนวน 228,125 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่าฟ้องในข้อหาเรียกเงินตามตั๋วแลกเงิน หรือผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีโจทก์ผ่อนเวลาให้แก่ผู้จ่ายโดยจำเลยที่ 2 มิได้ตกลงด้วย โจทก์จึงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยจากจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 500,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับประเด็นข้อแรกที่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าจะฟ้องเรียกเงินตามตั๋วเงินหรือเรียกเงินตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันออกตั๋วแลกเงินนำไปขายลดตั๋วเงินไว้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินไม่ได้ โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามตั๋วแลกเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีตามที่ได้ตกลงกันไว้กับโจทก์ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าการเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงดังกล่าวเรียกตามสัญญาขายลดตั๋วเงินนั่นเอง ท้ายฟ้องของโจทก์ยังได้แนบสำเนาสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินของจำเลยทั้งสองไว้อีกด้วยคำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและขอให้บังคับตามข้อตกลงในสัญญาขายลดตั๋วเงิน ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้วประเด็นข้อสองเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ให้อำนาจนายโกมลซื้อขายลดตั๋วเงินแทนโจทก์การที่นายโกมลรับซื้อไว้แทนโจทก์ที่ธนาคารของโจทก์ สาขาบ้านนาสารเป็นการกระทำนอกอำนาจนั้นปรากฏว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายโกมลฟ้องคดีนี้ ถือว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การซื้อขายลดตั๋วเงินของธนาคารโจทก์ สาขาบ้านนาสารแล้ว และประเด็นข้อสามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิได้บอกกล่าวการไม่ใช้เงินไปยังจำเลยที่ 2 ภายใน 4 วัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 963 โจทก์สิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 973นั้น ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์บังคับฐานผิดสัญญาขาดลดตั๋วเงินไม่ใช่ฟ้องบังคับตามตั๋วแลกเงิน จึงนำบทบัญญัติสองมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ประเด็นข้อที่สี่เรื่องโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 2 หรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตกลงเรื่องดอกเบี้ยที่จะให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ17.5 ต่อปี ถ้าหากจะต้องเสียตามกฎหมายในเรื่องตั๋วเงิน โจทก์ก็มีสิทธิเรียกได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นั้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน ดอกเบี้ยจึงต้องเป็นไปตามอัตราที่ตกลงกันไว้ จำเลยที่ 2 จะให้บังคับในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 968 (2) ไม่ถูกต้องสำหรับประเด็นที่ห้าเรื่องคดีขาดอายุความหรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์จะต้องนำคดีมาฟ้องภายในกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ตั๋วแลกเงินถึงกำหนด โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2ผิดสัญญาขาดลดตั๋วเงิน โจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามสัญญาซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10 ปี คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ…”
พิพากษายืน.