แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในการสืบพยานจำเลยชั้นแรก พ.ผู้จัดการมรดกของร. อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย ล.4 ราคาประเมินตารางวาละ 2,500 บาท ตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมายล.1 โจทก์จึงอ้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 มาหักล้างคำของพ.และข้อความตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมายล.1เมื่อพ.พยานจำเลยเบิกความรับรองหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 ดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธิอ้างอิงหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานประกอบคำของ พ. โดยไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลได้
จำเลยอ้างส่งหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนองและสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ต่อศาลโดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าว แต่ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลในทางตัดสิทธิ และเสรีภาพของผู้ที่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 ว่ามีเหตุอันควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ และจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ อันเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่มีความจำเป็นจะต้องสืบพยานอันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะแสดงได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลก็ตาม ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2526 นางระพีพรรณบุญแต่งหรือทศแสนสิน ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 59573บางส่วนพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้แก่โจทก์ในราคา 350,000 บาท โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำ 170,000 บาทแล้ว ส่วนที่เหลือจะชำระกันในวันโอนกรรมสิทธิ์ หลังจากนั้นนางระพีพรรณได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่28 ตุลาคม 2529 นายพีรพล ทศแสนสิน ทายาทของนางระพีพรรณได้เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ได้ติดต่อขอรับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้จัดการมรดกของนางระพีพรรณ แต่ไม่สามารถโอนให้ได้โดยอ้างว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของนางระพีพรรณได้ถูกเจ้าหนี้อื่นนำยึดไว้หมดแล้ว กองมรดกของนางระพีพรรณจึงต้องคืนเงินมัดจำ 170,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2526เป็นต้นไปให้แก่โจทก์ ดอกเบี้ยดังกล่าวคิดถึงฟัองเป็นเงิน45,578.63 บาท รวมกับต้นเงินเป็นทั้งสิ้น 215,578.63 บาท เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2530 ผู้จัดการมรดกของนางระพีพรรณได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินรวม 4 โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้แก่นางบุญจงตรีเสถียรกิจ เจ้าหนี้ผู้นำยึดที่ดินดังกล่าว ทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบมิอาจได้รับชำระหนี้ได้ ปรากฏว่าทรัพย์มรดกของนางระพีพรรณไม่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้อื่น แสดงว่านางระพีพรรณมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้พิพากษาให้จัดการทรัพย์มรดกของนางระพีพรรณตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 84
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องเมื่อพ้นอายุความ 1 ปี แล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง หนี้ที่โจทก์กล่าวในฟ้องเป็นหนี้ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน จำเลยไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ทรัพย์มรดกของนางระพีพรรณมีที่ดินอีกสองแปลงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ให้ศาลชั้นต้นคืนค่าอ้างเอกสารหมายจ.6 จำนวน 5 บาท และค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินจำนวน 150 บาท ให้แก่โจทก์และคืนค่าอ้างเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 รวมจำนวน 15 บาท ให้แก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่านางระพีพรรณซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นหนี้โจทก์อันกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้น 215,578.63 บาท และทรัพย์มรดกของนางระพีพรรณที่เหลือมีแต่ที่ดินโฉนดเลขที่ 65513 และ65514 ตำบลบางด้วน (บางจากฝั่งเหนือ) อำเภอภาษีเจริญกรุงเทพมหานคร รวมเนื้อที่ 258 ตารางวา ติดจำนองธนาคารกสิกรไทยเป็นเงิน 300,000 บาทเศษ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธินำสืบหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 หักล้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1แม้จะมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาล ส่วนจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบเพื่อให้ศาลเชื่อว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 65513 และ 65514ของจำเลยมีราคาตารางวาละ 2,500 บาท โดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 ต่อศาล ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับฟังพยานเอกสารดังกล่าวชอบแล้วนั้น ปรากฏว่าเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยอ้างส่งหนังสือรับรองราคาประเมินสำเนาหนังสือสัญญาจำนอง สำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน และสำเนาโฉนดที่ดิน เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5ต่อศาลโดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 และขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นอนุญาต ถึงวันนัดจำเลยแถลงว่า ที่ดิน (โฉนดที่ดิน) ของจำเลยที่ยื่นต่อศาลได้ติดจำนองธนาคารกสิกรไทย พร้อมด้วยดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2530 เป็นเงิน 381,088.89 บาท แต่ที่ดินทั้งสองแปลงของจำเลยมีราคารวมกันมากกว่าจำนวนหนี้ที่โจทก์อ้างโจทก์จำเลยขอเวลาเจรจากันโดยโจทก์จะไปดูสภาพที่ดินก่อนและขอเลื่อนไปนัดพร้อม ถึงวันนัดโจทก์จำเลยแถลงร่วมกันว่าตกลงกันไม่ได้ และโจทก์อ้างส่งหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6โดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลและในการสืบพยานจำเลยต่อมา นายพีรพลผู้จัดการมรดกของนางระพีพรรณพยานจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์รับว่า หนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งประเมินราคาที่ดินแปลงเดียวกันกับหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 เป็นการประเมินเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์2531 ราคาตารางวาละ 1,400 บาท สำหรับหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เห็นว่า ในการสืบพยานจำเลยชั้นแรกนายพีรพลผู้จัดการมรดกของนางระพีพรรณอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 ราคาประเมินตารางวาละ2,500 บาท ตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 โจทก์จึงอ้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 มาหักล้างคำของนายพีรพลและข้อความตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1เมื่อนายพีรพลพยานจำเลยเบิกความรับรองหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 ดังกล่าวมา โจทก์ย่อมมีสิทธิอ้างอิงหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานประกอบคำของนายพีรพลโดยไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เพราะโจทก์มิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วยฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนองและสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย ล.1ถึง ล.3 ที่จำเลยอ้างส่งโดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลนั้น เห็นว่าการพิจารณาคดีล้มละลายผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญเพราะพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 3483ว่ามีเหตุอันควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ และจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่มีความจำเป็นจะต้องสืบพยานอันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนองและสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะแสดงได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังพยานเอกสารเพราะจำเลยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วยและในปัญหานี้คู่ความจะมิได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ขึ้นมาศาลฎีกาก็เห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้…”
พิพากษายืน แต่ไม่คืนค่าอ้างเอกสารหมาย จ.6 จำนวน 5 บาทให้แก่โจทก์และไม่คืนค่าอ้างเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 รวมจำนวน15 บาท ให้แก่จำเลย.