คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยผู้อาศัยให้รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่าโจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ในราคา 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินงวดแรกให้โจทก์ 14,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงจะชำระให้เมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ 1 ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยชำระราคาบางส่วนแล้วจริงหรือไม่ จึงเป็นการกำหนดประเด็นอย่างกว้าง ๆ ตามคำให้การของจำเลย ซึ่งย่อมรวมถึงการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ชำระราคาบางส่วนและที่เหลือเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ อันเป็นลักษณะของสัญญาจะซื้อจะขายนั่นเองการที่จำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทโดยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงหาเป็นการนำสืบและวินิจฉัยนอกประเด็นไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 4519จำเลยทั้งสองได้เข้ามาอาศัยปลูกบ้านหนึ่งหลังอยู่ในที่ดินดังกล่าวของโจทก์ทางด้านทิศเหนือ เนื้อที่ 1 ไร่ 40 ตารางวา โดยตกลงว่าจะขออยู่อาศัยเพียง 2-3 ปี ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปลูกบ้านเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหลัง กำหนดเวลาที่จำเลยทั้งสองขออยู่อาศัยล่วงเลยมานานแล้ว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกไปแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้ใข้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1เมื่อกลางปี พ.ศ. 2523 ในราคา 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์แล้ว 14,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงจะชำระเมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ จำเลยทั้งสองปลูกบ้านในที่ดินพิพาทด้วยความยินยอมของโจทก์ และได้ติดต่อขอให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกโอนกรรมสิทธิ์ แต่โจทก์บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อต้นปี พ.ศ. 2529 โจทก์จึงแจ้งว่าจะขอเงินเพิ่มจากส่วนที่ยังค้างชำระเป็น 24,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมโจทก์จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองม่ได้ขออาศัยโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การแล้ว คดีมีประเด็นพิพาทว่า
(1) โจทก์ให้จำเลยทั้งสองปลูกบ้านอาศัยในที่ดินพิพาทนี้ หรือโจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยชำระราคาบางส่วนแล้วจริงหรือไม่
(2) โจทก์เสียหายหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือไม่ แต่จำเลยกลับนำสืบว่ามีการตกลงจะซื้อขายมีการชำระหนี้บางส่วน และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นการนำสืบต่อสู้และวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้งว่าโจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ในราคา 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินงวดแรกให้โจทก์ 14,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงจะชำระให้เมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ 1 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยชำระราคาบางส่วนแล้วจริงหรือไม่จึงเป็นการกำหนดประเด็นอย่างกว้าง ๆ ตามคำให้การของจำเลย ซึ่งย่อมรวมถึงการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ชำระราคาบางส่วนและที่เหลือเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ อันเป็นลักษณะของสัญญาจะซื้อจะขายนั่นเอง การที่จำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทโดยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายจึงหาเป็นการนำสืบและวินิจฉัยนอกประเด็นไม่…”
พิพากษายืน.

Share