คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จากแสงสว่างของหลอดไฟฟ้านีออน ขนาดยาวซึ่งเปิดอยู่ที่หลังร้าน ในร้านและหน้าร้านที่เกิดเหตุในขณะเกิดเหตุ น่าเชื่อว่าม. กับ ส. ประจักษ์พยานจำคนร้ายได้ โดยเฉพาะ ม. รู้จักจำเลยมาก่อนเกิดเหตุเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน และพยานทั้งสองไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุที่จะปรักปรำจำเลยแม้ ส. ไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนเกิดเหตุก็ได้แจ้งรูปพรรณคนร้ายให้ตำรวจทราบและเมื่อตำรวจจับจำเลยมาให้ ส. ดู ตัวก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย พยานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2529 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายจู้เทียบ สุวรรณรัตน์ผู้ตายหลายนัดโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้ตายที่กกหูซ้าย ท้ายทอย หน้าอกขวา ตะโพกขวา และต้นแขนซ้ายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก เหตุเกิดที่ตำบลชิงโค อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นางหนูขิ้ม สุวรรณรัตน์ภริยาของผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 จำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ปรากฏบาดแผลตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.4 ปัญหามีว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีประจักษ์พยาน 2 ปาก คือ นายมนัส รัตนะ และนายสุพิศ มากสาขาซึ่งได้ความจากคำเบิกความของนายมนัสว่า วันเกิดเหตุเวลา 1 นาฬิกาขณะที่พยานกับนายสมทบ ชูเรืองสุข และนายสุพิศ มากสาขา นั่งดื่มสุราอยู่ในร้านที่เกิดเหตุ ได้ยินเสียงปืนดังมาจากด้านหลังห่างจากนายมนัสกับพวกประมาณ 5 เมตร แล้วเห็นผู้ตายวิ่งร้องขอความช่วยเหลือมาจากด้านหลังร้านทางประตูข้างร้านผ่านไปทางหน้าร้าน โดยมีจำเลยซึ่งพยานรู้จักมาก่อนถืออาวุธปืนสั้นวิ่งไล่ตามและมีนายเกาถืออาวุธปืนมาด้วยวิ่งตามจำเลยไป ผู้ตายวิ่งไปล้มที่ใต้ต้นสนห่างจากพยานประมาณ 5 เมตรบริเวณดังกล่าวมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้านีออนที่เปิดอยู่ในร้าน 3 ดวง หลังร้าน 1 ดวง และหน้าร้าน 1 ดวง จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายอีกประมาณ 4 นัด แล้วจำเลยกับนายเกาวิ่งหลบหนีไปทางป่าเสม็ด และจากคำเบิกความของนายสุพิศว่า วันเกิดเหตุพยานกับนายมนัสและนายสมทบ เข้าไปนั่งดื่มสุราอยู่ในร้านที่เกิดเหตุ เมื่อถึงเวลาเกิดเหตได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางด้านหลังร้าน 2 นัด แล้วเห็นผู้ตายวิ่งร้องขอความช่วยเหลือออกมาจากทางห้องผู้หญิงหากินผ่านมาทางที่พยานนั่งโดยมีจำเลยกับชายอีกคนหนึ่งถืออาวุธปืนสั้นวิ่งไล่ตามมา เมื่อผู้ตายวิ่งเลยไปล้มที่โคนต้นไม้ห่างจากพยานประมาณ 5 เมตรจำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิ่งผู้ตายอีกประมาณ 3-4 นัด แล้วจำเลยกับชายคนนั้นก็วิ่งหลบหนีไปทางด้านหลังร้านซึ่งมีพุ่มไม้บ้าง ศาลฎีกาเห็นว่าจากแสงสว่างของหลอดไฟฟ้านีออนขนาดยาวซึ่งเปิดอยู่ที่หลังร้านในร้าน และหน้าร้านดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ จึงน่าเชื่อว่านายมนัสและนายสุพิศจำคนร้ายได้ โดยเฉพาะนายมนัสรู้จักจำเลยมาก่อนเกิดเหตุเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน ทั้งนายมนัสยังเบิกความว่าในคืนเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยกับผู้ตายนั่งดื่มสุราอยู่ในร้านห่างนายมนัสประมาณ 2 เมตร แล้วจำเลยกับผู้ตายเกิดโต้เถียงกันด้วย จึงเชื่อว่านายมนัสและนายสุพิศจำคนร้ายที่วิ่งไล่ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายได้ว่าเป็นจำเลยโดยไม่ผิดตัว นายมนัสและนานสุพิศไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุ จึงไม่มีเหตุที่จะปรักปรำจำเลยแม้ว่านายสุพิศจะไม่รู้จักจำเลยมาก่อนเกิดเหตุ แต่ก็ได้แจ้งรูปพรรณของคนร้ายให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบและเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยมาได้ให้นายสุพิศดูตัวแล้วก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายการที่นายมนัสและนายสุพิศกลับบ้านทันทีหลังจากเกิดเหตุแล้วโดยมิได้อยู่รอเล่าเรื่องที่พบเห็นให้ผู้ใดฟังนั้น อาจเป็นเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของคนอื่นไม่เกี่ยงข้องกับตนจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็เป็นได้ ต่อมาอีกหลายวันเมื่อภริยาของผู้ตายและเจ้าพนักงานตำรวจมาสองถาม จึงได้เปลี่ยนใจเล่าเรื่องให้ฟัง แม้ว่าพยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันบ้างและเบิกความแตกต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนของตนดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมาก็ตาม แต่ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญถึงกับจะทำให้พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ ที่จำเลยเบิกความว่าหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 7 วัน จำเลยกับนายมนัสและนายสุพิศดื่มสุราด้วยกันแล้วเกิดชกต่อยกัน ซึ่งเป็นทำนองว่านายมนัสกับนายสุพิศมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยนั้น เป็นแต่คำกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งทนายจำเลยมิได้ซักค้านความข้อนี้ให้ปรากฏไว้ในคำเบิกความของนายมนัสและนายสุพิศ จึงรับฟังไม่ได้ พยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามฟ้อง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share