คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินซึ่งรัฐบาลซื้อจากเอกชนเพื่อสร้างสถานที่ราชการ.และได้มีพระบรมราชโองการให้ขึ้นทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลังแต่ครั้งสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช. ในทะเบียนที่ราชพัสดุมีหมายเหตุไว้ในช่องใช้ราชการหรือจัดให้เช่าทำประโยชน์ว่าให้เช่าปลูกโรงชั่วคราว. ที่ดินราชพัสดุซึ่งอยู่ติดต่อกันได้ใช้ปลูกสร้างเป็นที่ทำการแขวงการทางกรมธนารักษ์ในกระทรวงการคลังมอบให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ดูแล. แม้ที่ดินดังกล่าวจะยังมิได้ใช้ปลูกสร้างสถานที่ราชการ. ก็เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ซึ่งมิใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า. (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2512).
ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ.2506 มาตรา 9 ซึ่งบัญญัติว่า.กระทรวงการคลังมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับการเงินแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร หรือกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน นอกจากสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น. หาได้ยกเว้นมิให้กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับสาธารณสมบัติของแผ่นดินทุกชนิดไม่.
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 บัญญัติว่า. บรรดาที่ดินทั้งหลายอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินนั้น. ถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น. ให้อธิบดีมีอำนาจดูแลรักษาดำเนินการคุ้มครองป้องกันได้ตามควรแก่กรณี. อำนาจหน้าที่ดังว่านี้รัฐมนตรีจะมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นเป็นผู้ใช้ก็ได้.แต่โดยที่ได้มีพระบรมราชโองการให้กระทรวงการคลังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินราชพัสดุรายพิพาท และขึ้นทะเบียนไว้แล้วก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน. พระบรมราชโองการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย่อมถือเป็นกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ราชพัสดุ.อธิบดีกรมที่ดินจึงไม่มีอำนาจ. และเมื่อมีประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 8 วรรคท้าย บัญญัติว่า. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจที่จะจัดขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมืองได้.กระทรวงการคลังก็คงใช้อำนาจครอบครองที่ราชพัสดุอยู่เช่นเดิม โดยมิได้มีการเปลี่ยนแปลง. ย่อมถือได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้จัดให้ที่พิพาทขึ้นทะเบียนเป็นของกระทรวงการคลังแล้วโดยอนุโลม. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมเป็นกฎหมายทั่วไปที่กำหนดอำนาจและหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามกฎหมายของกระทรวงและทบวงการเมืองต่างๆ. ย่อมไม่ลบล้างอำนาจของกระทรวงการคลังซึ่งได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคท้าย อันเป็นกฎหมายพิเศษ. เพราะกฎหมายพิเศษย่อมยกเว้นกฎหมายทั่วไป. กระทรวงการคลังจึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับที่ราชพัสดุรายพิพาทได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1149/2511).
สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ผู้ใดจะยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินหาได้ไม่.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลรวมพิจารณา โดยโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ดูแลที่ราชพัสดุเลขทะเบียน 9803 เนื้อที่ 2 ไร่ ซึ่งซื้อจากเอกชนเพื่อใช้สร้างสถานที่ราชการอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยทั้งสองได้เอาส่วนหนึ่งของที่ราชพัสดุ เลขทะเบียน9803 และ 9800 ไปขอออกโฉนดโดยไม่มีอำนาจ เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงออกโฉนดให้เลขที่ 614 และ 579 ขอให้เพิกถอนโฉนด และขับไล่จำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยขอออกโฉนดโดยสุจริต คดีโจทก์ขาดอายุความโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ 614 ให้นางสุพรจำเลยและบริวารออกจากที่ดิน และรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย และให้เพิกถอนโฉนดที่ 579 เฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ราชพัสดุตามแผนที่พิพาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกข้อนอกจากเรื่องมอบอำนาจ ซึ่งโจทก์มิได้มอบอำนาจเกี่ยวกับที่ราชพัสดุแปลงเลขที่9800 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับที่ราชพัสดุแปลงเลขที่ 9800 และที่ให้เพิกถอนโฉนด กับให้นางสุพรจำเลยพร้อมด้วยบริวารออกและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปนั้น ให้บังคับเฉพาะส่วนที่จำเลยรุกล้ำที่ราชพัสดุแปลงเลขที่ 9803 ตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท จำเลยทั้งสองฎีกา ข้อที่จำเลยฎีกาว่ากระทรวงการคลังโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องเพราะขัดต่อพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. 2506 มาตรา 9และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมพ.ศ. 2506 มาตรา 9 บัญญัติว่า “กระทรวงการคลังมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับการเงินแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากรหรือกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน นอกจากสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฯลฯ” ตามมาตรานี้จะเห็นได้ว่า กฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่จัดกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่ที่บัญญัติต่อไปเป็นข้อยกเว้นว่า “นอกจากสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” นั้นจะหมายถึงสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใด เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304สาธารณสมบัติของแผ่นดินมีหลายชนิด และบัญญัติไว้กว้าง ๆ ว่า รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน และยกตัวอย่างไว้ 3 อนุมาตราด้วยกันหากพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมฯ มาตรา 9 ยกเว้นมิให้กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับสาธารณสมบัติของแผ่นดินทุกชนิดแล้ว สมมุติว่ามีผู้มาบุกรุกที่ดินที่ตั้งกระทรวงการคลังซึ่งเป็นสำนักราชการบ้านเมือง ตามอนุมาตรา 9 ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพื่อใช้ประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ กระทรวงการคลังมิฟ้องผู้บุกรุกนั้นมิได้หรือ ดังนี้จะเห็นได้ว่า เป็นการขัดต่อเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งรัฐบาลซื้อมาเพื่อสร้างสถานที่ราชการและได้มีพระบรมราชโองการให้ขึ้นทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลังแต่ครั้งสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช ดังที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า”ที่หลวงหวงห้าม” ปรากฏตามหนังสือกระทรวงการคลังยืนยันไปยังคณะกรรมการจังหวัดชุมพร พร้อมกับคัดสำเนาทะเบียนส่งไปด้วย สำหรับที่พิพาทได้หมายเหตุในทะเบียนในครั้งนั้นไว้ในช่องใช้ราชการหรือจัดให้เช่าทำประโยชน์อย่างไรว่า “ให้เช่าปลูกโรงชั่วคราว” และได้ความว่าที่ดินราชพัสดุแปลงเลขที่ 9800 ซึ่งอยู่ติดต่อด้านเหนือที่พิพาท ต่อมาได้ใช้ปลูกสร้างเป็นที่ทำการแขวงการทางอยู่จนปัจจุบันนี้ กรมธนารักษ์ในกระทรวงการคลังซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในที่พิพาทและที่ราชพัสดุทั่วราชอาณาจักรได้มอบให้สรรพากรจังหวัดดูแลที่พิพาท ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าเมื่อยังไม่ได้ใช้ปลูกสร้างสถานที่ราชการก็เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ซึ่งไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 บัญญัติว่า “บรรดาที่ดินทั้งหลายอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินของแผ่นดินนั้น ถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้อธิบดีมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาดำเนินการคุ้มครองป้องกันได้ตามควรแก่กรณี อำนาจหน้าที่ดังว่านี้ รัฐมนตรีจะมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นเป็นผู้ใช้ก็ได้ และประมวลกฎหมายที่ดินได้บัญญัติรับรองที่ดินของทบวงการเมืองไว้ อาทิมาตรา 22(2) และ 36(1) แต่โดยที่ได้มีพระบรมราชโองการให้กระทรวงการคลังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินราชพัสดุที่พิพาท และขึ้นทะเบียนไว้แล้วก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พระบรมราชโองการในสมัยนั้นย่อมถือเป็นกฎหมาย ให้อำนาจกระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ราชพัสดุ อธิบดีกรมที่ดินจึงไม่มีอำนาจเกี่ยวกับที่ราชพัสดุเช่นที่พิพาทนี้ และเมื่อมีประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8วรรคท้าย ที่ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจที่จะจัดขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมืองได้ใช้บังคับนั้น กระทรวงการคลังก็คงใช้อำนาจครอบครองที่ราชพัสดุอยู่เช่นเดิม โดยมิได้มีการเปลี่ยนแปลงประการใด ดังนั้นย่อมถือได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้จัดให้ที่พิพาทขึ้นทะเบียนเป็นของกระทรวงการคลังแล้วโดยอนุโลม ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมเป็นกฎหมายทั่วไป ที่กำหนดอำนาจและหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามกฎหมายของกระทรวงและทบวงการเมืองต่าง ๆ ย่อมไม่ลบล้างอำนาจของกระทรวงการคลังซึ่งได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคท้ายอันเป็นกฎหมายพิเศาเพราะกฎหมายพิเศษย่อมยกเว้นกฎหมายทั่วไป กระทรวงการคลังจึงมีอำนาจฟ้องหรือมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องคดีนี้ได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1159/2511 ข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าไม่เคลือบคลุม ข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 ฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ซึ่งรัฐบาลซื้อจากเอกชนเพื่อไว้ใช้สร้างสถานที่ราชการ เดิมอยู่ในความดูแลของแผนกมหาดไทย ต่อมาได้โอนมาเป็นของกระทรวงการคลังโดยพระบรมราชโองการ และได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุไว้ จำเลยเอาที่พิพาทไปขอออกโฉนดโดยไม่ชอบ พิพากษายืน.

Share