แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เยาว์อายุ 18 ปีมีภริยา. แต่มิได้จดทะเบียนสมรส.ย่อมยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ผู้เยาว์ลงนามทำสัญญาโดยมีผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายพิมพ์นิ้วมือเป็นพยานในเอกสารสัญญานั้นถือได้ว่า.ผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว.
ทายาททุกคนทำสัญญาแบ่งปันมรดกซึ่งไม่มีพินัยกรรม. เป็นการระงับข้อพิพาทแห่งกองมรดกที่จะมีขึ้น. จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ.
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4)ผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวแก่ทรัพย์สินของผู้เยาว์มิได้. เว้นแต่ศาลจะอนุญาต ดังนั้น เมื่อยังมิได้รับอนุญาตจากศาล. ผู้ใช้อำนาจปกครองในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมจึงไม่อาจให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันมรดก.
สัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันมรดกซึ่งผู้เยาว์ทำและผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมโดยมิได้รับอนุญาตจากศาล.ย่อมตกเป็นโมฆะ แม้สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นทำขึ้นระหว่างผู้เยาว์กับทายาทอื่นอีกหลายคน. แต่จำนวนทายาทหรือจำนวนทรัพย์มรดกที่จะได้รับส่วนแบ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวพัน. ไม่อาจแบ่งแยกออกจากกันได้. ย่อมตกเป็นโมฆะด้วยกันทั้งสิ้น.
การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น อาจทำได้โดยทายาทต่างครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด. เมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย. ทายาทผู้ใดครอบครองมรดกส่วนไหนก็ย่อมมีสิทธิเฉพาะส่วนนั้น. ส่วนอื่นที่ตนมิได้เกี่ยวข้อง. ย่อมขาดอายุความมรดก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 499 เนื้อที่ 56 ไร่ 68 ตารางวาเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายซอบิดาซึ่งถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมโจทก์มีสิทธิได้รับมรดก 1 ใน 13 เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน29 ตารางวา ขอให้พิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนมรดกดังกล่าวร่วมกับจำเลย จำเลยต่อสู้ว่า ทายาทได้ทำบันทึกแบ่งมรดกตามคำสั่งผู้ตายไว้ โจทก์มีส่วนได้เพียง 1 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวาเศษ คดีโจทก์ขาดอายุความมรดก นางนิ่ม โซ๊ะสลาม ในฐานะส่วนตัวและมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของนางสาวแสงทอง เด็กหญิงซาฟียะ นางสาวอามีเนาะ นางทองดี นายสว่างร้องสอดขอรับส่วนแบ่งมรดกในฐานะภริยาและบุตรเจ้ามรดก โจทก์ไม่ค้าน จำเลยค้านว่า นางนิ่มตกลงไว้ในบันทึกระหว่างทายาทสละสิทธิรับมรดก ส่วนผู้ร้องสอดอื่นมีสิทธิรับมรดกดังจำเลยให้การ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ร้องสอดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1749 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทายาทได้ตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันตามเอกสาร ล.1 อันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ในสัญญามิได้ระบุให้นางนิ่มได้รับมรดก พิพากษาว่า โจทก์กับนางสาวแสงทอง เด็กหญิงซาฟียะ นางสาวอามีเนาะ นางทองดี นายสว่างมีสิทธิได้รับมรดกคนละ1 ใน 7 ของที่ดิน 12 ไร่ 2 งาน ให้โจทก์จำเลย ผู้ร้องสอดร่วมกันไปจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินรายนี้ ส่วนได้ของนางนิ่มให้ยกเสีย โจทก์กับผู้ร้องสอดทั้งหมดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า นางนิ่มในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของนางสาวแสงทอง เด็กหญิงซาฟียะ และนายสว่าง ผู้ร้องสอดมีสิทธิได้รับมรดกคนละ 1 ใน 13 ของเนื้อที่ทั้งหมด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ได้ความในเบื้องต้นว่า นายซอเจ้ามรดกมีภริยา 2 คน คือนางเชย และนางนิ่ม มีบุตรรวม 12 คน หลังเจ้ามรดกตาย บุตรทั้ง12 คน ได้ลงนามทำบันทึกแบ่งมรดกตามเอกสาร ล.1 นางนิ่ม พิมพ์ลายนิ้วมือเป็นพยาน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสาร ล.1 เป็นข้อตกลงของทายาทผู้เป็นบุตรเจ้ามรดกทั้งหมด 12 คน เกี่ยวกับที่พิพาทของเจ้ามรดกซึ่งไม่มีพินัยกรรมเป็นการระงับข้อพิพาทแห่งกองมรดกที่จะมีขึ้นจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ขณะทำเอกสารนั้น นางสาวแสงทองและเด็กหญิงซาฟียะเป็นผู้เยาว์ ส่วนนายสว่างอายุ 18 ปี มีภริยาโดยไม่จดทะเบียน ฐานะตามกฎหมายก็เป็นผู้เยาว์นั่นเอง นางนิ่มมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมได้พิมพ์ลายนิ้วมือในเอกสารในฐานะพยานแสดงว่ารู้เห็นยินยอมอนุญาตให้ผู้เยาว์ทำเอกสาร ล.1 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใช้อำนาจปกครองทำสัญญาประนีประนอมยอมความเว้นแต่ศาลจะอนุญาต กรณีนี้นางนิ่มในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทั้งสามมิได้รับอนุญาตจากศาล จึงขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวโดยตรง ย่อมตกเป็นโมฆะ มีปัญหาว่าจะแบ่งที่พิพาทแก่ทายาทอย่างไร ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าหลังจากเจ้ามรดกตาย โจทก์กับผู้ร้องสอดทั้งหกต่างอยู่เรือนในที่พิพาทและทำนาพิพาท 12 ไร่ 2 งาน ตามที่ได้รับแบ่งนอกจากนั้นนายจรูญเป็นผู้ทำนาพิพาททั้งสิ้น อันถือได้ว่าต่างครอบครองที่พิพาทอันเป็นมรดกเป็นส่วนสัด เกินระยะเวลาที่เจ้ามรดกตาย 1 ปี ตามบทกฎหมายทายาทผู้ใดครอบครองมรดกส่วนไหนก็ย่อมมีสิทธิเฉพาะส่วนนั้น ส่วนอื่นที่ตนมิได้เกี่ยวข้องย่อมขาดอายุความมรดกฉะนั้น ส่วนมรดกของโจทก์กับผู้ร้องทั้งหก จึงมีเฉพาะที่ครอบครองดังกล่าว 12 ไร่ 2 งาน ที่จะต้องแบ่งออกเป็น 7 ส่วนเท่า ๆ กัน พิพากษาแก้เป็นว่า นาพิพาทเฉพาะ 12 ไร่ 2 งาน ที่โจทก์กับผู้ร้องสอดครอบครองนั้นเป็นของโจทก์กับผู้ร้องสอดทั้งหกคนละส่วนเท่า ๆ กัน.