แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยเป็นผู้นำเอารถจักรยานของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปฝากบุคคลอื่นไว้ให้ช่วยขายให้. โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดนั้น. จำเลยย่อมมีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบังอาจลักหรือรับเอารถจักรยาน2 ล้อ 2 คัน ราคา 2,400 บาทของนายจรัส กลมประโคน ไว้โดยทุจริตขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีแดงที่ 1718/2509 ของศาลชั้นต้นด้วย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนดคนละ 2 ปีนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีแดงที่ 1718/2509 ของศาลชั้นต้นส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ให้ยกเสีย จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะมีพยานแต่เพียงผู้เดียวที่รู้เห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนนำเอารถจักรยานของผู้เสียหายไปฝากนายบัวไว้ให้ช่วยขายให้ แต่คำเบิกความของนายบัวผู้นี้ก็น่าเชื่อถือ เพราะมีคำเบิกความของนายอุทิศ กำนันมาสนับสนุนว่าที่นายอุทิศจะได้รถจักรยานทั้ง 2 คันของผู้เสียหายคืนมา ก็เพราะนายบัวนั้นเองเป็นผู้บอกให้ อันแสดงถึงความบริสุทธิ์ของนายบัว มิใช่เป็นเรื่องที่นายบัวจวนตัว เพราะเขาจับของกลางได้ที่เรือนตนแล้วจึงซัดปัดความผิดไปให้ผู้อื่นนอกจากนั้นแล้วยังได้ความว่านายบัวนี้ผู้นี้เป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้นกับจำเลยทั้งสอง และชอบพอกันดีอยู่ จึงไม่น่าเชื่อว่านายบัวจะแกล้งเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้นำเอารถจักรยานของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปฝากนายบัวไว้ให้ช่วยขายให้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.