คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีส่วนอาญายุติเพียงชั้นศาลอุทธรณ์. ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาของศาลอุทธรณ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญของโจทก์และทำลายรั้วแล้วทำรั้วใหม่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 362, 363 และขอให้แสดงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทให้จำเลยรื้อรั้ว ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง และให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่ 5827จำเลยใช้สิทธิในฐานะเจ้าของ ไม่มีเจตนาบุกรุกทำลายทรัพย์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ในโฉนดของจำเลยแม้โจทก์จะได้ครอบครองมาโดยปรปักษ์ ก็ไม่ได้ตั้งรูปฟ้อง ข้อเท็จจริงในการพิจารณาได้ความต่างกับฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ส่วนหนึ่งอยู่นอกเขตโฉนดของจำเลย โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทมากว่า 40 ปี มีสิทธิครอบครองที่พิพาทดีกว่าจำเลย กรณีพิพาทกันว่าใครควรมีสิทธิครอบครอง จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกและทำให้รั้วของโจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่พอลงโทษในทางอาญา พิพากษาแก้ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้จำเลยรื้อรั้วที่ทำไว้ออกไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 50 บาทแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องทางอาญา จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษทางอาญา คดีส่วนอาญาจึงเป็นอันยุติคงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีส่วนแพ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาว่า ที่ดินตามโฉนดที่ 5827 ของจำเลยนั้นมีร่องน้ำเป็นเขตแล้วเกิดตื้นเขินขึ้นเขตโฉนดของจำเลยจึงมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น ที่พิพาทเป็นที่ส่วนหนึ่งอยู่นอกโฉนดที่ 5827 และโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทมาเป็นเวลากว่า40 ปีแล้ว โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท จำเลยเข้าไปรื้อรั้วของโจทก์และทำรั้วขึ้นใหม่แทน ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่ศาลอุทธรณ์ได้ฟังไว้ในคดีส่วนอาญาดังกล่าว ตามความในมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การกระทำของจำเลยจึงเป็นละเมิดโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน ห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องและให้จำเลยรื้อรั้วที่ทำไว้ออกไปได้ และข้อเท็จจริงไม่ต่างกับฟ้องในสารสำคัญ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว พิพากษายืน.

Share