คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุมาในฟ้องผิดตำบล. ต่อมาก่อนที่จะเสร็จการสืบพยานจำเลย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องให้ตรงกับความเป็นจริง. ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจกระทำได้เพราะสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิดเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องแถลงในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158. ฉะนั้น จึงไม่ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164.

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 5 คนได้สมคบกันใช้เกี๊ยะและมือตีชกต่อยทำร้ายร่างกายโจทก์ทั้งสอง เหตุเกิดที่ศาลอาญา ถนนราชินีตำบลพระบรมมหาราชวัง อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะตกเป็นผู้ต้องหา ฐานก่อการวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลย โดยที่กรณีนี้ ผู้ว่าคดีศาลแขวงพระนครเหนือได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยทั้งหมด เป็นจำเลยในข้อหาฐานทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณสถาน ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 568/2508 ของศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้รวมพิจารณาและพิพากษาคดีทั้งสองนี้ด้วยกัน แล้วพิพากษาว่า จำเลยทุกคนในคดีนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ปรับคนละ 50 บาท โจทก์ทั้งสองและจำเลยทุกคนมีความผิดตามมาตรา 372 อีกกระทงหนึ่ง ปรับคนละ 50 บาทไม่ชำระค่าปรับบังคับตามมาตรา 29, 30 จำเลยทุกคนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทุกคนในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4458/2507 ของศาลชั้นต้นฎีกาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและโจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุมาในฟ้องผิดตำบล การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นคำร้องแก้ฟ้องเมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้วไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้ง 5 คนร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์ฝ่ายเดียว ไม่ใช่สมัครใจวิวาทต่อสู้กันโจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลย ข้อที่ว่าโจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุมาฟ้องผิดตำบลนั้น ข้อนี้ได้ความว่าเดิมโจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุมาในฟ้องว่าเหตุเกิดที่ศาลอาญา ถนนราชินี ตำบลหน้าพระลาน อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า เหตุเกิดที่ตำบลพระบรมมหาราชวัง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาว่าโจทก์ขอแก้ฟ้องก่อนสืบพยานจำเลยเสร็จสิ้น ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบหรือหลงต่อสู้ จึงอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้ไขฟ้องก่อนเสร็จการสืบพยานจำเลยจึงมีอำนาจกระทำได้ ส่วนปัญหาว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบหรือไม่ ก็ปรากฏว่าสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิด เป็นรายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 ฉะนั้น จึงไม่ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164 คงมีปัญหาว่าจำเลยหลงต่อสู้ในข้อที่ผิดนี้หรือไม่ ก็เห็นว่าแม้โจทก์จะระบุตำบลที่เกิดเหตุในฟ้องผิด แต่โจทก์ได้บรรยายรายละเอียดอย่างอื่นของสถานที่เกิดเหตุไว้อีกหลายประการคือ บรรยายว่าเหตุเกิดที่ศาลอาญาถนนราชินี อำเภอพระนคร ซึ่งชัดเจนพอที่จำเลยจะทราบได้แน่ว่าเหตุเกิด ณ ที่ใด จำเลยจึงไม่มีทางหลงต่อสู้ในข้อที่ผิดไปนี้ได้ พิพากษายืน.

Share