แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มิได้มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แม้โจทก์จะมีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้จำเลยเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) นั้น ให้เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.) ในชื่อของโจทก์ได้ เพราะไม่มีกฎหมายใดให้สิทธิโจทก์ที่จะยื่นคำขอเช่นนั้น การที่จำเลยไม่รับดำเนินการให้ตามที่โจทก์ขอจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการในตำแหน่งนายอำเภอเมืองนครราชสีมา สังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และมีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457และเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มีอำนาจหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอเมืองนครราชสีมา สำหรับกรณีอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 71(1) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และมีหน้าที่ในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จำเลยที่ 2เป็นข้าราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอเมืองนครราชสีมา สังกัดกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับคำขอและดำเนินการเกี่ยวกับคำของานที่ดินตามที่จำเลยที่ 1 มอบหมายในสายงานโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 179 เล่ม 124 หน้า 36 ที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 5 (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นหมู่ที่ 12) ตำบลโคกกรวดอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยที่ดินดังกล่าวเดิมเป็นของนายพุ่ม สูงใหม่ และนายพุ่มได้ขายด้วยการโอนสิทธิการครอบครองในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์ต่อเนื่องสืบมาจนปัจจุบัน ต่อมานายพุ่มเจ้าของที่ดินเดิมได้ถึงแก่ความตาย โจทก์มีความประสงค์จะขอเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ดังกล่าว เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ในนามของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำขอรังวัดเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ต่อจำเลยทั้งสองตามระเบียบแล้ว แต่จำเลยทั้งสองได้ปฏิเสธไม่รับดำเนินการให้ โดยอ้างว่าได้ตรวจหลักฐานแล้วมีชื่อนายพุ่ม สูงใหม่ เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินจึงไม่อาจรับคำขอได้การกระทำของจำเลยทั้งสองที่ไม่ดำเนินการให้โจทก์ตามที่โจทก์ได้ยื่นคำขอดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามกฎหมาย ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองดำเนินการรังวัดเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 179เล่ม 124 หน้า 36 ตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่ผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เมื่อจำเลยไม่ดำเนินการเปลี่ยนน.ส.3 ดังกล่าวเป็น น.ส.3 ก. ในชื่อโจทก์ตามที่โจทก์ร้องขอจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเพียงว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 179 เล่ม 124 หน้า 36ตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยนายพุ่มสูงใหม่ ผู้มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) นั้น ได้ขายและโอนสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2515 แต่ไม่ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นชื่อโจทก์ โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โจทก์ยื่นคำขอรังวัดเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ในชื่อของโจทก์ต่อจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้โดยอ้างว่ามีชื่อนายพุ่มเป็นผู้มีสิทธิในที่ดิน เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องโจทก์ว่า โจทก์มิได้มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 179เล่ม 124 หน้า 36 ตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา แม้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำขอให้จำเลยทั้งสองเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) นั้น ให้เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ในชื่อของโจทก์ให้แก่โจทก์ เพราะไม่มีกฎหมายใดให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะยื่นคำขอเช่นนั้นได้ การที่จำเลยทั้งสองไม่รับดำเนินการให้ตามที่โจทก์ยื่นคำขอนั้น จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แต่อย่างใด โจทก์ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.