แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีผู้เสียหายเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน นอกจากนี้ในชั้นจับกุมชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพเฉพาะฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ส่วนฐานใช้อาวุธปืนในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและฐานชิงทรัพย์จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด อีกทั้งปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจมือขวาของจำเลยแล้วบันทึกไว้ว่านิ้วมือขวาของจำเลยไม่สามารถเหยียดตรงได้เนื่องจากจำเลยเคยถูกยิงที่แขนขวาเส้นประสาทขาดพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าขณะข่มขืนกระทำชำเราจำเลยได้ใช้อาวุธปืนขู่เข็ญ และชิงทรัพย์ผู้เสียหาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,339, 340 ตรี, 91 ที่แก้ไขแล้ว กับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์3,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 339 วรรคสอง, 340 ตรี เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่แก้ไขใหม่ ฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงโดยมีและใช้อาวุธปืน จำคุก 15 ปี ฐานชิงทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนจำคุก 15 ปี รวมลงโทษจำคุก 30 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 3,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้ว ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 4 ปี ส่วนข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339และ 340 ตรี ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังยุติว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย คดีมีปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า ในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยได้ใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหาย และจำเลยได้กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า จำเลยออกมาจากข้างทางใช้มือซ้ายล็อคคอผู้เสียหายและใช้มือขวาถือปืนจ่อผู้เสียหายพร้อมกับขู่ว่าอยู่นิ่ง ๆ ต่อจากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราที่กองฟางข้างทางแล้วค้นเอาเงิน 3,000 บาท ของผู้เสียหายไป จำเลยมีตัวจำเลยเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยเคยถูกยิงที่แขนขวาเส้นประสาทขาดแพทย์ต่อให้ปัจจุบันนิ้วมือขวาไม่สามารถเหยียดตรงได้ จำเลยเอามือขวาให้ศาลตรวจดูปรากฏว่า เป็นจริงดังที่จำเลยเบิกความเห็นว่า โจทก์คงมีผู้เสียหายเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนนอกจากนี้ในชั้นจับกุมชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพเฉพาะฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ส่วนฐานใช้อาวุธปืนในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและฐานชิงทรัพย์ จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอดตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ตามลำดับ อีกทั้งปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจมือขวาของจำเลยแล้วบันทึกไว้ว่านิ้วมือขวาของจำเลยไม่สามารถเหยียดตรงได้เนื่องจากจำเลยเคยถูกยิงที่แขนขวาเส้นประสาทขาด ด้วยเหตุดังกล่าวประกอบกัน ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า ขณะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยได้ใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหายและชิงทรัพย์ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.