แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวว่าสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อเป็นสินค้าอะไรแต่ก็ได้กล่าวว่าเป็นสินค้าตามใบวางบิลและใบส่งของตามเอกสารท้ายฟ้องซึ่งได้ระบุประเภทสินค้าไว้ จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม แม้สินค้าที่โจทก์ขายให้จำเลยจะไม่ได้อยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยยอมทำสัญญาซื้อขาย และรับสินค้าไปจากโจทก์แล้ว จำเลยก็ต้องชำระราคา หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีระบุว่าให้ฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินค่าสินค้าที่ค้างชำระจากจำเลย ย่อมหมายถึงให้ฟ้องคดียังศาลที่มีเขตอำนาจโดยไม่จำต้องระบุว่าเป็นศาลใด และเป็นการมอบอำนาจให้ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ค้างชำระทั้งหมดมิได้เป็นการมอบให้ฟ้องเรียกบางส่วนอันจะต้องระบุจำนวนหนี้ที่ให้ฟ้องดังนี้ หนังสือมอบอำนาจจึงมีผลใช้บังคับได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน โจทก์มอบอำนาจให้นายดำเกิงชาญศิลป์ เป็นผู้ฟ้องคดีนี้เมื่อระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2529ถึงวันที่ 14 มกราคม 2531 จำเลยได้สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์ในนามบริษัทธารทิพย์เครื่องเรือน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ยังมิได้จดทะเบียนอันเป็นกิจการค้าของจำเลยหลายครั้ง ปรากฏตามใบวางบิลและใบส่งของท้ายฟ้อง จำเลยได้รับสินค้าดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้วและได้ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์บางส่วน จำเลยยังคงค้างค่าสินค้าโจทก์เป็นเงิน 791,740 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 798,572.82 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงานตามที่โจทก์อ้าง หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะมิได้ระบุชื่อศาลและจำนวนทุนทรัพย์ที่จะฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่าใบวางบิลรายการใดที่จำเลยค้างชำระรายการใดชำระแล้ว เป็นค่าสินค้าอะไร แต่ละรายการเป็นจำนวนเงินเท่าใด โจทก์ส่งสินค้าให้จำเลยไม่ถูกต้องตามมาตรฐานสินค้าที่ตกลงกันไว้ จำเลยมิได้ค้างชำระค่าสินค้าจำนวน791,740 บาท ตามฟ้องแต่ค้างชำระเพียง 184,917 บาท เพราะมีสินค้าบางรายการตามใบวางบิลท้ายคำให้การจำเลยได้ชำระราคาแล้วสินค้าบางรายการส่งคืนให้โจทก์ซ่อมแล้วยังไม่ส่งกลับมา บางรายการโจทก์คิดราคาเกินกว่าที่ตกลงกัน และมีอีกหลายรายการที่จำเลยมิได้สั่งซื้อและไม่ได้รับสินค้า ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว อยู่ในระหว่างนัดฟังคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานและขอนำพยานเข้าสืบศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยโต้แย้งคำสั่งในระหว่างพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 791,740 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาแรกจำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์ไม่บรรยายถึงสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อว่าเป็นสินค้าอะไร มีสภาพอย่างไรสั่งซื้อเมื่อใดและด้วยวิธีใดจึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในคำฟ้องจะมิได้กล่าวว่าสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อเป็นสินค้าอะไร แต่ก็ได้กล่าวว่าเป็นสินค้าตามใบวางบิลและใบส่งของท้ายฟ้องซึ่งระบุว่าเป็นพวกเครื่องเรือน จึงเป็นคำฟ้องที่ชัดแจ้งแล้ว ไม่เคลือบคลุมส่วนสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อมีสภาพอย่างไรสั่งซื้อเมื่อใดและด้วยวิธีใดนั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ว่าการไม่บรรยายฟ้องดังกล่าวทำให้เคลือบคลุมหรือไม่
ปัญหาข้อที่สองจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องเรือน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่าแม้การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนตามฟ้องจะอยู่นอกวัตถุประสงค์ของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยยอมทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์และรับสินค้าไปจากโจทก์ จำเลยก็ต้องชำระราคา จำเลยรับสินค้าไปแล้วจะไม่ยอมชำระราคาโดยหาเหตุว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ดังกล่าวหาได้ไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาข้อที่สามจำเลยฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ใช้บังคับไม่ได้ เพราะมิได้ระบุศาลและจำนวนทุนทรัพย์ที่จะฟ้องเห็นว่าตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ได้ระบุให้ฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินค่าสินค้าที่ค้างชำระจากจำเลย ย่อมหมายถึงให้ฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้โดยหาต้องระบุศาลใดโดยเฉพาะไม่และให้ฟ้องเรียกหนี้ค่าสินค้าที่ค้างชำระทั้งหมด มิได้ให้ฟ้องเรียกบางส่วนจึงจะต้องระบุจำนวนหนี้ที่ให้ฟ้อง หนังสือมอบอำนาจนี้จึงมีผลใช้บังคับได้
ปัญหาข้อที่สี่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ค้างชำระค่าสินต้องฟ้อง เห็นว่าโจทก์มีนายพนา จิรชัยสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์นายดำเกิง ชาญศิลป์และนางสาวดารกา ใจโต พนักงานของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยเริ่มซื้อสินค้าจากโจทก์ไปจำหน่ายตั้งแต่ปี 2529 โดยมีวิธีปฏิบัติกันมาคือ เมื่อจำเลยสั่งซื้อสินค้าแล้วโจทก์จะส่งสินค้าให้จำเลยหรือลูกค้าของจำเลยตามที่จำเลยสั่งเสร็จแล้วโจทก์จะนำใบส่งของให้จำเลยตรวจสอบพร้อมกับวางบิลเมื่อจำเลยตรวจสอบว่าถูกต้องก็จะลงชื่อไว้ในใบวางบิล ต่อมาจึงมีการชำระเงินสำหรับสินค้าที่ค้างชำระตามฟ้อง จำเลยได้สั่งซื้อไปในระหว่างปี 2529 ถึง 2531 ปรากฏตามใบวางบิลและใบส่งของรวม 64 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.3 โดยจำเลยและพนักงานของจำเลยได้ลงชื่อในช่องผู้รับบิลและช่องผู้ตรวจรับของแล้วต่อมาเมื่อหนี้ถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมชำระ โจทก์ทวงถามทั้งให้ทนายความทวงถามด้วย จำเลยก็เพิกเฉย รวมค่าสินค้าที่ค้างชำระทั้งสิ้นเป็นเงิน791,740 บาท ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง คดีจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยค้างชำระค่าสินค้าตามฟ้อง เมื่อจำเลยผิดนัดจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดด้วย
ปัญหาข้อสุดท้าย คดีมีเหตุสมควรให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานและนำพยานเข้าสืบดังที่จำเลยฎีกาหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่เพิ่งมายื่นหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จไปแล้วศาลชั้นต้นจึงสั่งไม่รับ ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษา หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนจำเลยจึงเพิ่งยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานและขอนำพยานเข้าสืบ อ้างว่าเหตุที่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนด เพราะทนายความของจำเลยหลงลืม จะเห็นได้ว่าเหตุตามคำร้องของจำเลยมิใช่เหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานและนำพยานเข้าสืบนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้คิดดอกเบี้ยเพราะเหตุผิดนัดนับแต่วันที่ 31 กันยายน 2531 นั้น ยังไม่ถูกต้องเพราะจำเลยได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 24 กันยายน2531 ครบกำหนด 7 วัน ตามหนังสือทวงถามในวันที่ 1 ตุลาคม 2531เมื่อจำเลยไม่ชำระจึงเริ่มผิดนัดตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2531เป็นต้นไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2531เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ.