คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3704/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าของเดิมยกที่พิพาทให้ผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองเข้าครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนมิใช่ในฐานะผู้อาศัย จึงไม่จำต้องบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังเจ้าของเดิม เมื่อผู้ร้องทั้งสองได้เข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ พ.ศ. 2503 ติดต่อกันตลอดมา ถือได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ในที่พิพาท นับแต่นั้นจนถึงวันยื่นคำร้องขอรวมเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ส่วนผู้คัดค้านเป็นทายาทผู้รับโอนมรดกที่พิพาทมิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้รับกรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง การจดทะเบียนรับโอนที่พิพาทของผู้คัดค้าน จึงไม่เป็นการตัดสิทธิการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของผู้ร้องทั้งสอง และแม้ผู้ร้องทั้งสองมิได้คัดค้านการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่พิพาท แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสองได้ทราบหรือให้ความยินยอมด้วย จะถือว่าผู้ร้องทั้งสองรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านแล้วย่อมมิได้ ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าผู้คัดค้าน

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องที่ 1 เป็นบุตรของนางประคองและนายใช้ นายใช้มีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วคือนางเสียน นางเสียนซื้อที่ดินไว้หลายแปลงรวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 6647 เนื้อที่ดิน 2 งาน 1 ตารางวา เมื่อนายใช้ถึงแก่กรรม ผู้ร้องที่ 1 ก็ยังคงอาศัยอยู่กับนางเสียนตลอดมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2503 ผู้ร้องที่ 1 แต่งงานกับผู้ร้องที่ 2 นางเสียนจึงยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้ผู้ร้องทั้งสองเพื่อปลูกบ้านเรือนอยู่อาศัยและเป็นเรือนหอ ผู้ร้องทั้งสองได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินรวมทั้งสิ้น 201 ตารางวา จนปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าว โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382และขอให้มีคำสั่งถึงเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาบางเขน ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว โดยให้ใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและร้องแย้งว่า ผู้คัดค้านเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายใช้และนางเสียนคนหนึ่ง นางเสียนได้ยกที่พิพาทให้แก่ผู้คัดค้านทางมรดก เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2527นางเสียนให้ผู้ร้องทั้งสองอาศัยปลูกบ้านอยู่และช่วยดูแลที่ดินมิใช่ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง เมื่อผู้คัดค้านรับโอนที่พิพาทมาทางมรดก ผู้ร้องทั้งสองก็ทราบดีไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านและได้บอกผู้คัดค้านว่ายินดีที่จะย้ายออกไปโดยขอเงินค่าขนย้าย แต่เรียกค่าขนย้ายสูงเกินไปจึงตกลงกันไม่ได้ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง การที่ผู้ร้องทั้งสองยังไม่ยอมรื้อถอนและขนย้ายออกไปเป็นการละเมิดต่อสิทธิของผู้คัดค้าน ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ขอให้ยกคำร้องและมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองรื้อถอนบ้านและขนย้ายบริวารออกจากที่พิพาทและห้ามเข้ายุ่งเกี่ยวอีกต่อไปและให้ผู้ร้องทั้งสองใช้ค่าเสียหาย
ผู้ร้องให้การแก้คำร้องแย้งว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้ยื่นข้อเสนอว่าจะให้ค่าขนย้ายแก่ผู้ร้องทั้งสอง แต่ผู้ร้องทั้งสองไม่สนใจ เพราะถือว่าที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองตามกฎหมายแล้วผู้คัดค้านไม่ได้รับความเสียหาย หากเสียหายจริงก็ไม่ถึงที่ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ยกคำคัดค้านของผู้คัดค้านให้เจ้าพนักงานที่ดินใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนในเนื้อที่ 201 ตารางวา
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้เจ้าพนักงานที่ดินใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนในเนื้อที่ 201ตารางวา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางเสียนยกที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง มิใช่เพียงอนุญาตให้เข้าอยู่อาศัย แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้คัดค้านฎีกาต่อมาว่าผู้ร้องทั้งสองมิได้บอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์ไปยังนางเสียนทั้งภายหลังผู้คัดค้านรับโอนที่พิพาทแล้ว ผู้ร้องทั้งสองไม่เคยโต้แย้งเท่ากับเป็นการรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านและเป็นการทำลายสิทธิครอบครองของผู้ร้องทั้งสองแล้วนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางเสียนได้ยกที่พิพาทให้ผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองเข้าครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนมิใช่ในฐานะผู้อาศัย จึงไม่จำต้องบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังนางเสียน เมื่อผู้ร้องทั้งสองได้เข้าครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 ติดต่อกันตลอดมาถือได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ในที่พิพาท นับแต่นั้นจนถึงวันยื่นคำร้องคดีนี้ รวมเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ส่วนผู้คัดค้านเป็นทายาทผู้รับโอนมรดกที่พิพาท มิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้รับกรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองการจดทะเบียนรับโอนที่พิพาทของผู้คัดค้านจึงไม่เป็นการตัดสิทธิการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของผู้ร้องทั้งสอง และแม้ผู้ร้องทั้งสองมิได้คัดค้านการจดทะเบียนรีบโอนมรดกที่พิพาท แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสองได้ทราบหรือให้ความยินยอมด้วย จะถือว่าผู้ร้องทั้งสองรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านแล้วมิได้ ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าผู้คัดค้าน
พิพากษายืน

Share