แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนพินัยกรรมที่จำเลยอ้างว่ามารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยยกทรัพย์มรดกทั้งหมดรวมทั้งที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเพียงผู้เดียวโดยระบุว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ต่อมาโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันความว่า จำเลยจะไม่นำพินัยกรรมไปขอรับโอนที่ดินพิพาท และให้โจทก์ทั้งสองกับ พ. มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายในฐานะทายาทบนที่ดินเหมือนเดิมทุกประการ ส่วนที่ดินอีกแปลงหนึ่งที่จำเลยรับโอนไปแล้วจะแบ่งเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กันให้โจทก์ทั้งสองและ พ. มีกรรมสิทธิ์รวม ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองดูแลรักษาพร้อมทั้งเก็บดอกผลบนที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมและให้จำเลยใช้เงินดอกผลส่วนของโจทก์ทั้งสองกับให้แบ่งผลประโยชน์ที่เกิดบนที่ดินพิพาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุดแก่โจทก์ทั้งสอง ดังนั้นประเด็นที่จะวินิจฉัยในคดีนี้จึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน อันจะเป็นการฟ้องซ้ำและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องเป็นคดีต่างหาก ไม่จำต้องยื่นคำร้องขอเข้าไปในคดีเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสอง จำเลยและนางเพ็ญศรีเชิดชูวงศ์วัฒนา เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสุวรรณนางบุญช่วย ตรีเพ็ชร์ ขณะที่นายสุวรรณกับนางบุญช่วยถึงแก่กรรมมีทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 5487 กับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 126 บนที่ดินทั้งสองแปลงมีบุคคลอื่นเช่าที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย 27 หลังคาเรือน โจทก์ทั้งสองจำเลยและนางเพ็ญศรี ต่างมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันและมีสิทธิได้รับผลประโยชน์จากดอกผลที่เกิดขึ้นบนที่ดินทั้งสองแปลงตามส่วนแบ่งของแต่ละคนเท่า ๆ กัน เมื่อปี 2529 โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลย ขอให้เพิกถอนพินัยกรรมปลอมของนางบุญช่วยที่ระบุว่านางบุญช่วยยกอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดรวมทั้งที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียวและจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยจะไม่นำพินัยกรรมไปขอรับโอนที่ดินทั้งสองแปลง ให้โจทก์ทั้งสองกับนางเพ็ญศรีมีสิทธิในที่ดินในฐานะทายาทเหมือนเดิม หลังจากตกลงกันแล้ว จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองทำประโยชน์และเก็บดอกผลบนที่ดินทั้งสองแปลง จำเลยเข้ายึดครอบครองและเก็บค่าเช่าจากบุคคลอื่นไปเป็นเงิน 9,200 บาทเป็นประโยชน์จำเลยแต่เพียงผู้เดียว ขอให้บังคับจำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองดูแลรักษาเก็บดอกผลบนที่ดินโฉนดที่ 5487และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 126ในฐานะเจ้าของรวม ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 4,600 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ให้แบ่งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นบนที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
จำเลยให้การว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 5487 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 126 มีชื่อนายสุวรรณตรีเพ็ชร์ บิดาโจทก์จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองเมื่อนายสุวรรณถึงแก่กรรม นางบุญช่วยมารดาโจทก์จำเลยได้ยื่นคำร้องขอรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5487 เป็นของนางบุญช่วยในฐานะผู้จัดการมรดกเมื่อปี 2524 นางบุญช่วยถึงแก่กรรม ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้จำเลยแต่เพียงผู้เดียว จำเลยได้ครอบครองและเก็บผลประโยชน์บนที่ดินทั้งสองแปลงตลอดมาในฐานะเจ้าของ จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 126 เมื่อปี 2529 โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดฐานปลอมเอกสารและฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมเป็นคดีแพ่ง และโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันความว่าจำเลยจะไม่นำพินัยกรรมไปรับโอนที่ดินทั้งสองแปลงและให้โจทก์ทั้งสองกับนางเพ็ญศรีมีสิทธิที่จะได้รับมรดกตามกฎหมายในฐานะทายาทเหมือนเดิมทุกประการ โจทก์ทั้งสองจึงได้ถอนฟ้องคดีอาญาจำเลยตามข้อตกลงในคดีแพ่งดังกล่าว จำเลยยังไม่อาจที่จะปฏิบัติได้เพราะนายสุวรรณยังมีภริยาชื่อนางพลอย ตรีเพ็ชร์ มีบุตรด้วยกัน 9 คน และภริยาชื่อนางบุญชูตรีเพ็ชร์ มีบุตรด้วยกันอีก 3 คน บุคคลดังกล่าวมีสิทธิที่จะได้รับมรดกอยู่ด้วย การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จะต้องร้องขอต่อศาลในคดีเดิม มิใช่ที่จะมาฟ้องเป็นคดีใหม่ได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองดูแลรักษาพร้อมทั้งเก็บผลประโยชน์บนที่ดินโฉนดเลขที่ 5487 กับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 126 ในฐานะเจ้าของร่วม ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 4,600 บาท แก่โจทก์ทั้งสองกับให้จำเลยแบ่งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นบนที่ดินทั้งสองแปลงนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะมีการแบ่งที่ดินทั้งสองแปลงกันให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยเสียภาษีเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์พิพาทไว้โดยชอบแล้ว ก่อนที่จะจ่ายเงินให้แก่โจทก์ให้จำเลยชำระส่วนแบ่งผลประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองตามส่วนเท่าที่เหลือจากหักค่าภาษีแล้ว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 59/2529 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 59/2529 ของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนพินัยกรรมที่จำเลยอ้างว่ามารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยยกทรัพย์มรดกทั้งหมดรวมทั้งที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยเพียงผู้เดียว โดยระบุว่าเป็นพินัยกรรมปลอมแล้ว โจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ความว่าจำเลยจะไม่นำพินัยกรรมไปขอรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5587 และตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 126 และให้โจทก์ทั้งสองกับนางเพ็ญศรีมีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมายในฐานะทายาทบนที่ดินเหมือนเดิมทุกประการ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 5067 ที่จำเลยรับโอนไปแล้วจะแบ่งเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ให้โจทก์ทั้งสองและนางเพ็ญศรีมีกรรมสิทธิ์รวม ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองดูแลรักษาพร้อมทั้งเก็บดอกผลบนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม และให้จำเลยใช้เงินดอกผลส่วนของโจทก์ทั้งสองจำนวน 4,600 บาท กับให้แบ่งผลประโยชน์ที่เกิดบนที่ดินพิพาททั้งสองแปลง นับแต่วันฟ้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุดแก่โจทก์ทั้งสอง ดังนั้นประเด็นที่จะวินิจฉัยในคดีนี้จึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน อันจะเป็นการฟ้องซ้ำและต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องเป็นคดีต่างหาก ไม่จำต้องยื่นคำร้องขอเข้าไปในคดีเดิมเพื่อให้ศาลวินิจฉัยแต่อย่างใด”
พิพากษายืน