แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้จะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามป.วิ.พ. มาตรา 142(5) ก็ตาม แต่ข้อกฎหมายดังกล่าวต้องได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานนอกเรื่องนอกประเด็นไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ หรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องแสดง ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายไม่ได้ โจทก์จำเลยพิพาทกันว่าที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลยไม่มีประเด็นพิพาทว่าเป็นที่ชายตลิ่งหรือไม่ การที่ศาลเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทในประเด็นที่ว่าฝ่ายใดครอบครองที่ดินพิพาทแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากการเดินเผชิญสืบว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลย แต่เป็นที่ชายเลนมีน้ำท่วมถึงจึงเป็นที่ชายตลิ่ง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 และเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายชิต แจ่มมาก บิดาโจทก์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4006 ตำบลบางหัวเสือ อำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน ทิศเหนือติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 4007 ของจำเลยที่ 1 ส่วนทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 4006 และ 4007 ติดแม่น้ำเจ้าพระยาและที่ดินทั้งสองแปลงมีที่งอกริมตลิ่งด้านที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ30 ปีมาแล้ว โดยแปลงของนายชิตบิดาโจทก์มีที่งอกริมตลิ่งเป็นเนื้อที่ประมาณ 250 ตารางวา ราคา 200,000 บาท และเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชิตบิดาโจทก์ครอบครองยึดถือตลอดมา เมื่อนายชิตบิดาโจทก์ตายเมื่อปี 2525 ที่ดินแปลงของนายชิตบิดาโจทก์รวมทั้งที่งอกริมตลิ่งก็เป็นมรดกตกได้แก่โจทก์กับนางทวี แจ่มมาก นางสาวมาลี แจ่มมาก และนายเกื้อ แจ่มมาก ซึ่งเป็นทายาทร่วมกันเมื่อปี 2511 จำเลยที่ 1ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) สำหรับที่ดินซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งแปลงของจำเลยที่ 1 รวมที่ดินซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งแปลงของนายชิตบิดาโจทก์ด้วยต่อนายอำเภอพระประแดง และเมื่อทางอำเภอออกให้แล้ว จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2515 โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่ว่าที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งแปลงของนายชิตบิดาโจทก์จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจขาย นับแต่ซื้อขายกันแล้วจำเลยทั้งสองไม่เคยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมาปลายเดือนมีนาคม 2528 จำเลยที่ 2จะนำไปขายให้บุคคลอื่น โจทก์ได้ทราบ จึงได้ไปคัดค้านต่อนายอำเภอพระประแดง และดำเนินเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กับนางทวี แจ่มมาก นางสาวมาลีแจ่มมาก และนายเกื้อ แจ่มมาก ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องอีกต่อไปและขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 25และเพิกถอนการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ด้วย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 4006 และ 4007เป็นของนายทิม แจ่มมาก บิดาของนายฉ่ำ แจ่มมาก สามีจำเลยที่ 1 โดยมีที่งอกริมตลิ่งทั้งสองแปลงซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วย นายทิมครอบครองโดยสุจริตเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า 70 ปีแล้วเมื่อ 60 ปีเศษมานี้ นายทิมได้ยกที่ดินทั้งสองแปลงรวมทั้งที่งอกริมตลิ่งให้นางสะ แจ่มมาก และนายฉ่ำซึ่งเป็นภรรยาและบุตรครอบครองต่อมาเมื่อประมาณ 45 ปี มานี้ นางสะได้ขายที่งอกริมตลิ่งส่วนของตนให้จำเลยที่ 1 และนายฉ่ำได้ยกที่งอกริมตลิ่งส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาโดยปลูกเรือนอยู่อาศัยและปลูกต้นจากเก็บกินเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีโดยนายชิต แจ่มมากบิดาโจทก์และตัวโจทก์รวมตลอดทั้งพี่น้องของโจทก์ไม่เคยคัดค้านหรือเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เมื่อปี 2498 จำเลยที่ 1ได้แจ้งการครอบครองที่งอกริ่มตลิ่งที่ดินทั้งสองแปลง และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เลขที่ 1 ให้ ต่อจากนั้นเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2511 พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 25หมู่ที่ 5 ให้จำเลยที่ 1 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วและจำเลยที่ 1 ได้ขายให้จำเลยที่ 2 โดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายเมื่อวันที่ 17เมษายน 2515 จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองต่อมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิแล้วจำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา นายชิต แจ่มมาก บิดาโจทก์และโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ทั้งไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์ไม่มีอำนาจคัดค้านมิให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทและไม่มีสิทธิขอเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายและหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 25 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าการที่โจทก์ฟ้องและจำเลยที่ 1 และที่ 2 รับว่าที่ดินพิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่ง แต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งพลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ ได้ความว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อ 1และ 2 ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลยตามลำดับ การที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์เป็นเบื้องต้น อันจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากการเดินเผชิญสืบว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลย แต่เป็นที่ชายเลนมีน้ำท่วมถึงจึงเป็นที่ชายตลิ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 เห็นว่าแม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ก็ตามแต่ข้อกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เช่นได้จากพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีจะต้องนำสืบ หรือได้จากเอกสารพยานที่มีกฎหมายบังคับให้คู่ความที่กล่าวอ้างต้องแสดงเป็นต้น สำหรับข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็นไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบหรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องแสดง ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ไม่ได้ คดีนี้ไม่มีประเด็นพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งหรือไม่และศาลเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบต่อสู้ในประเด็นฝ่ายใดครอบครองที่ดินพิพาทดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1486/2512 ระหว่างนายมา พรมเผ่า โจทก์ นายสงวน ชัยชนะเลิศกับพวก จำเลยที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ตามที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยนั้น… พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 มีน้ำหนักมากกว่า ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2498 เป็นต้นมา มีปัญหาต้องวินิจฉัยในส่วนของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยที่ 2มีตัวจำเลยที่ 2 และนายทวีชัย อัศวเทศานนท์ สามีเบิกความว่า หลังจากจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วได้มอบหมายให้นายสนั่นแจ่มมาก บุตรจำเลยที่ 1 ซึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4007ดูแลและตัดใบจากเก็บลูกจากในที่ดินพิพาทไปขาย จำเลยที่ 2 แบ่งผลประโยชน์ให้นายสนั่นครึ่งหนึ่งเป็นค่าตอบแทน นายสนั่นและนายสนมแจ่มมาก บุตรจำเลยที่ 1 เบิกความสนับสนุนว่า นายสนั่นเป็นผู้ดูแลเก็บผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามที่จำเลยที่ 2 มอบหมายจริง นอกจากนี้นายมณีและนายประสิทธิ์พยานจำเลยซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ใกล้เคียงที่ดินพิพาทเบิกความสนับสนุนอีกว่า หลังจากจำเลยที่ 1ขายที่ดินพิพาทแล้วคงมีนายสนั่นเข้าไปตัดใบจากและเก็บลูกจากในที่ดินพิพาท เห็นว่าคำพยานจำเลยเชื่อมโยงกันมาโดยตลอด ประกอบกับนายเชาว์พยานโจทก์เบิกความว่า เห็นนายสนั่นเข้าไปตัดใบจากและเก็บลูกจากในที่ดินพิพาทอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นจำเลยที่ 2เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ ที่ดินพิพาทตลอดมา ปรากฏตามใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย ล.19 พยานหลักฐานจำเลยที่ 2จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทสืบสิทธิต่อจากจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน.