คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2464/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญากู้มอบให้โจทก์เนื่องจากจำเลยนำเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายไปแลกเงินสดกับโจทก์แล้ว ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ การทำสัญญากู้จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ จำเลยจะอ้างเอาการไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้มาเป็นข้อต่อสู้ว่าไม่มีหนี้ตามสัญญากู้ต่อกันหาได้ไม่ ในชั้นไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลย มีเพียงตัวจำเลยเบิกความว่าภรรยาเป็นผู้รับหมายเรียกฯ ไว้แทน การที่ภรรยาจำเลยไม่แจ้งให้จำเลยทราบก็เป็นความบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง และถ้าภรรยาจำเลยไม่สามารถจะแจ้งให้จำเลยทราบได้ ก็เป็นเรื่องที่ภรรยาจำเลยจะต้องมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 85,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกวันที่ 15 ของเดือนโดยได้รับเงินกู้ยืมไปเรียบร้อยแล้วจำเลยชำระเงินกู้เพียงบางส่วน จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน 76,000 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระแต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดในต้นเงิน 76,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 12,888.33 บาทขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงินจำนวน 88,888.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 76,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยยื่นคำให้การเมื่อพ้นกำหนดยื่นคำให้การพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งยกคำร้องและสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าวไว้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 76,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาจะต้องวินิจฉัยก่อนคือ จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ จำเลยนำสืบว่า จำเลยเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2531 เมื่อเดินทางกลับมาที่บ้านจึงทราบว่าถูกฟ้องและทราบจากภรรยาจำเลยว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่20 เมษายน 2531 โดยจำเลยแต่ผู้เดียวมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ตามรายงานการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง เจ้าพนักงานศาลรายงานว่าภรรยาจำเลยเป็นคนรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้แทนจำเลย หากภรรยาจำเลยไม่แจ้งให้จำเลยทราบก็เป็นความบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง จำเลยจะยกขึ้นมากล่าวอ้างไม่ได้ และถ้าภรรยาจำเลยไม่ทราบว่าจำเลยอยู่ที่ใด ไม่สามารถจะแจ้งให้จำเลยทราบได้ก็เป็นเรื่องที่ภรรยาจำเลยจะต้องมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลแต่จำเลยมิได้นำภรรยาจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน พยานของจำเลยเท่าที่นำสืบจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การสอบปัญหาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้องหรือไม่…พิเคราะห์แล้วโจทก์มีนายจิรัฐ ลาวัลย์ตระกูล กรรมการของโจทก์มาเบิกความยืนยันว่า ลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.3 เป็นลายมือชื่อของจำเลยหนี้ตามสัญญากู้นี้แปรสภาพมาจากจำเลยเอาเช็คของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.8 มาแลกเงินสดกับโจทก์และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น กับโจทก์มีนายธนิต คิดเหมาะ สมุห์บัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาศุภสารรังสรรค์หาดใหญ่ มาเบิกความว่า หากลายมือชื่อผู้กู้ในเอกสารหมาย จ.3 มาสั่งจ่ายในเช็คธนาคารก็จะจ่ายเงินให้ แสดงว่านายธนิตเชื่อว่าลายมือชื่อในเอกสารหมายจ.3 เป็นลายมือชื่อของจำเลย ซึ่งจำเลยเองก็เบิกความเพียงว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.3 คล้ายลายมือชื่อของจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่าลายมือชื่อผู้กู้ในเอกสารหมาย จ.3 เป็นลายมือชื่อของจำเลยจริงโจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่าจำเลยได้นำเช็คเอกสารหมาย จ.8 ไปขอแลกเงินสดกับโจทก์และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นการที่จำเลยทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.3 ให้โจทก์จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ แม้ในวันทำสัญญากู้โจทก์จะไม่ได้มอบเงินตามสัญญากู้ให้จำเลยก็ถือว่าจำเลยได้รับเงินกู้จากโจทก์แล้ว จำเลยจะอ้างการไม่ได้รับเงินดังกล่าวมาเป็นข้อต่อสู้ว่าไม่มีหนี้ตามสัญญากู้ต่อไปกันไม่ได้คดีฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share