แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ตั้งแต่ปี 2528 ตลอดมาจนถึงปี 2530 ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แล้ว นั้น ศาลสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปอีก ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป และโจทก์นำพยานมาสืบเป็นอย่างอื่นก็ถือได้ว่าโจทก์สืบพยานนอกฟ้องนอกประเด็นรับฟังไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเอาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องขึ้นเป็นข้อวินิจฉัยจึงเป็นการพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายและตรงตามข้อหาในคำฟ้องแล้ว เมื่อฟังว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทเกิน1 ปี แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3350 เมื่อประมาณต้นปี2528 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วทำการไถพรวนดินและปลูกมันสำปะหลังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อเนื่องกันทุกฤดูปลูกมันสำปะหลังถึงปี 2529 และปี 2530 อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ เป็นเนื้อที่ 9 ไร่เศษ โจทก์ได้ห้ามปรามและบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว โดยให้รื้อถอนมันสำปะหลังและปรับปรุงดินให้อยู่ในสภาพเดิม แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 3350 พร้อมรื้อถอนมันสำปะหลัง ปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม โดยเสียค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองเอง ห้ามจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากที่ดินและรื้อถอนมันสำปะหลังและปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองโดยนางตุ้มได้ยกให้มานานประมาณ 20 ปี หลังจากได้รับที่พิพาทจำเลยทั้งสองได้ถากถางก่นสร้างที่พิพาทเป็นที่สวนและได้ครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 20 ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ต่อมาเมื่อต้นปี 2528 โจทก์อ้างว่าที่พิพาทอยู่ในเขตหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองหยุดทำกิน จำเลยทั้งสองไม่ยอมหยุด คงทำกินในที่พิพาทตลอดมาจำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิครอบครองในที่พิพาท โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาท โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทมาก่อน จึงไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายในระยะเวลา11 ถึง 12 ปีมาแล้ว จำเลยทั้งสองได้ปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทติดต่อกันมา เนื้อดินเสื่อม ได้ประโยชน์จากการขายมันสำปะหลังในที่พิพาทปีละไม่เกิน 800 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกที่พิพาทตั้งแต่ต้นปี 2528โจทก์ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 3350 ตำบลวาใหญ่อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร รวมทั้งให้รื้อถอนมันสำปะหลังปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองเองห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,500 บาทนับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 มีนาคม 2530) เป็นต้นไป จนกว่าจะออกจากที่ดิน รื้อถอนมันสำปะหลังและปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ได้ความจากคำฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกที่พิพาทซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครองตั้งแต่ปี 2528 ต่อเนื่องกันมาจนถึงปี 2530 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองแย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์เป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ย่อมหมดสิทธิครอบครองที่พิพาทและไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนที่พิพาท พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1หยิบยกแต่เพียงคำฟ้องของโจทก์และถือเป็นข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยคดี เป็นการขัดต่อกระบวนวิธีพิจารณาในการรับฟังพยานหลักฐานนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องมาโดยแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า เมื่อประมาณต้นปี 2528 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้ามาในที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์ แล้วไถพรวนดินและปลูกมันสำปะหลังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อเนื่องกันทุกฤดูปลูกมันสำปะหลังถึงปี 2529 และปี 2530 เป็นเนื้อที่ 9 ไร่เศษ โจทก์บอกให้จำเลยออกไปจากที่พิพาท จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาท แต่จำเลยให้การต่อสู้คดีมาโดยชัดแจ้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยได้รับการยกให้มาจากผู้อื่น จำเลยได้ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของมานานเกิน 20 ปีแล้วจำเลยจึงมีสิทธิครอบครองในที่พิพาท และได้ให้การตัดฟ้องมาโดยชัดแจ้งด้วยว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การจำเลยดังกล่าวศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่า จำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทมาเกิน 1 ปีแล้วหรือไม่ และในเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ตั้งแต่ปี 2528 ตลอดมาจนถึงปี 2530 ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า1 ปีแล้ว ศาลสามารถจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปอีก ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป และโจทก์นำพยานมาสืบเป็นอย่างอื่นก็ถือว่าโจทก์สืบพยานนอกฟ้องนอกประเด็นรับฟังไม่ได้ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกเอาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องขึ้นเป็นข้อวินิจฉัยจึงเป็นการพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายและตรงตามข้อหาในคำฟ้องแล้ว และเมื่อฟังว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีกต่อไปศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.