แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประเด็นข้อพิพาทในคดีมีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันก็คือวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเอง เป็นการวินิจฉัยตามประเด็นในคดี ที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ เพื่อจับปลาซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะทำนองเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำทุกปีมีน้ำท่วมพื้นที่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ลงหลักปักเขตขุดคูในที่พิพาทเพื่อเป็นบ่อปลา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลง ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 4 ตำบลท่าโรงช้าง อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานีเนื้อที่ 11 ไร่ครอบครองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2506 ใช้ประกอบการเกษตร ในเดือนมีนาคม 2530 จำเลยได้ลงหลักปักเขตถือสิทธิในที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือจากทิศตะวันออกมาทิศตะวันตกยาว 2 เส้น 10 วา จากมุมทิศตะวันออกมาทิศใต้กว้าง 2 เส้น 5 วา เป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งานแล้วขุดคูเป็นร่องเพื่อเป็นบ่อปลา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องและให้จำเลยทำการปรับดินให้อยู่ในสภาพพื้นราบ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินตามฟ้อง แต่จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 โดยขุดบ่อเลี้ยงปลาและเสียภาษีบำรุงท้องที่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยทำการปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพพื้นราบนั้น เห็นว่า ที่พิพาทมีสภาพเป็นน้ำท่วมขังตลอดปีและมีการขุดบ่อปลาไว้ ไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำให้ที่พิพาทเสียหายอย่างไร คำขอโจทก์ไม่ชัดแจ้ง จึงให้ยกเสียจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะนั้นเป็นการพิจารณาและพิพากษานอกฟ้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกมาว่ากล่าวหรือไม่ เห็นว่าประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันก็คือวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเองเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นในคดี ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นส่วนฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทหรือไม่โจทก์นำสืบว่า นายคล้ายบิดาของภริยาโจทก์ได้ยกที่พิพาทให้แก่โจทก์ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าทิศใต้จดที่นางจวงมารดาจำเลย รับกับข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าที่พิพาทอยู่ด้านทิศเหนือของนางจวงมารดาจำเลยที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ชาวบ้านเรียกว่าทุ่งหนองเตียนปรากฏตาม น.ส.3 ของนางจวง เอกสารหมาย ล.1 ว่า ที่ดินด้านทิศเหนือจดทุ่งหนองเตียน (หนองน้ำสาธารณะ)และได้ความจากโจทก์นำสืบว่าเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว ที่พิพาทน้ำท่วมทุกปี บางปีน้ำท่วมเหนือศีรษะบางปีน้ำสูงระดับอก ปัจจุบันมีเขื่อนกั้นน้ำทำให้น้ำไม่ท่วมศีรษะ น้ำจะลดลงในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมของทุกปี เมื่อน้ำลดโจทก์และพรรคพวกก็ช่วยกันจับปลานำไปรับประทานข้อนี้จำเลยนำสืบรับว่าในช่วงเดือนดังกล่าวชาวบ้านใกล้เคียงไปจับปลา 40-50 คน ทั้งข้อนำสืบของโจทก์จำเลยรับกันว่า นอกจากบ่อปลาที่ปรากฏในแผนที่พิพาทแล้วยังมีบ่อปลาอีกหลายบ่อที่โจทก์จำเลยขุดไว้แต่น้ำท่วมจึงไม่สามารถระบุในแผนที่พิพาทได้ นายเอื้อม สายรื่นอดีตผู้ใหญ่บ้านท้องที่พิพาทพยานโจทก์เบิกความว่า ที่พิพาทเรียกกันว่าทุ่งหนองเตียน บางปีน้ำท่วมตลอดไม่สามารถเดินผ่านได้ ปีใดน้ำแล้งชาวบ้านจะลงไปขุดบ่อปลาไว้แล้วลงไปจับปลาในบ่อที่ตนขุดไว้มีประมาณ 10 บ่อ นายไสว สงพัฒน์แก้ว ผู้ใหญ่บ้านท้องที่พิพาทพยานจำเลยเบิกความว่า ในราวเดือนเมษายนของทุกปีจะมีชาวบ้าน30-40 คน ไปจับปลาในที่พิพาทแต่ไม่มีผู้ใดไปขอออก น.ส.3 เพราะเป็นที่ทางราชการสงวนไว้เป็นสาธารณประโยชน์ไม่อาจออกเอกสารสิทธิให้แก่ผู้ใด และนายนิกร ทิพย์สุวรรณ อดีตปลัดอำเภอพุนพินพยานจำเลยเบิกความเช่นเดียวกันว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำและเป็นที่เลี้ยงสัตว์ภายในหมู่บ้าน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ เพื่อจับปลา ซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะทำนองเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำท่วมทุกปีมีน้ำท่วมพื้นที่ของทุ่งหนองเตียนทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้ นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำประโยชน์อย่างอื่นในที่พิพาทแตกต่างจากจำเลยหรือราษฎรคนอื่นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน