แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีอำนาจฟ้องให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ครอบครองทางพิพาท โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อน ศาลชั้นต้นจึงยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่โจทก์นำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องจำเลยคนเดียวกันอีก จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 14/6 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินมีโฉนดของนายสาและ ตีมุง บิดาโจทก์ที่ 2 โดยนายสา และได้จดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสอง ซึ่งก่อนหน้านี้โจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่ดินและบ้านดังกล่าวตลอดมาเป็นเวลากว่า 40 ปี และใช้ทางเดินในหมู่บ้านจากบ้านโจทก์ทั้งสองผ่านทางพิพาทสู่ถนนจำเลยทั้งสองมิได้ขัดขวางหรือปิดทางเดิน ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นอันตกเป็นภารจำยอมแก่โจทก์ทั้งสองและชาวบ้านใกล้เคียงประมาณ 10 หลังคาเรือน เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2528 จำเลยทั้งสองได้สร้างกำแพงกั้นมิให้โจทก์ทั้งสองและชาวบ้านประมาณ 50 คนผ่านทางพิพาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาท อันเป็นทางจำเป็นและตกเป็นภารจำยอมให้แก่โจทก์ทั้งสองและชาวบ้านใช้สัญจรไปมาเช่นเดิม และให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนภารจำยอมทางพิพาทหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ครอบครองและใช้ทางพิพาทเป็นทางเดิน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ 1 เคยฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 262/2528 ของศาลชั้นต้น ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์ที่ 1 ขอถอนฟ้องและสมคบกับโจทก์ที่ 2 รับโอนสิทธิในที่ดินโดยการยกให้แล้วกลับมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาทให้โจทก์ทั้งสองใช้เข้าออก คำขออื่นให้ยกศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขดำที่ 135/2528 คดีหมายเลขแดงที่ 262/2528ของศาลชั้นต้น ระหว่างนายเจ๊ะเต๊ะ ดือมอง โจทก์ นายเชษฐา ผาติดำรงค์กุล จำเลยที่ 1 นางสุจินหรือคิ่มหรือคิ่นผาติดำรงค์กุล จำเลยที่ 2 หรือไม่และทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องนั้นจำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาท มูลคดีนี้เป็นมูลคดีเดียวกับคดีหมายเลขดำที่ 135/2528 หมายเลขแดงที่ 262/2528 ของศาลชั้นต้น ซึ่งโจทก์ที่ 1 ถอนฟ้องไปแล้วและนำมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต เห็นว่า ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมายจ.1 ฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่4105 ตำบลบานา อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2528 โดยนายสาและ ตีมุง ยกให้โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2529 หลังจากเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4105 ดังกล่าวแล้ว โดยอ้างว่าทางพิพาทตกเป็นทางจำเป็นที่โจทก์ทั้งสองใช้เดินออกสู่ถนนรามโกมุท จำเลยทั้งสองกั้นกำแพงไม่ให้โจทก์ทั้งสองผ่านเช่นนี้ โจทก์ทั้งสองในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4105 ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาทได้ ทั้งนี้โดยโจทก์ทั้งสองไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ครอบครองทางพิพาทดังที่จำเลยทั้งสองต่อสู้แต่อย่างใดและการที่โจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 135/2528 หมายเลขแดงที่262/2528 ของศาลชั้นต้น ซึ่งก็คือโจทก์ที่ 1 ในคดีนี้ ถอนฟ้องคดีดังกล่าว แล้วนำมูลคดีในคดีดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีนี้นั้นก็เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายมิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ในเรื่องฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่าคดีหมายเลขดำที่ 135/2528 หมายเลขแดงที่ 262/2528 ของศาลชั้นต้น โจทก์ในคดีดังกล่าวได้ถอนฟ้องหลังจากสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายสืบก่อนได้ 1 ปากคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นจึงยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแต่อย่างใด การที่โจทก์ทั้งสองนำมูลคดีเดียวกันกับคดีดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีนี้ จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขดำที่ 135/2528หมายเลขแดงที่ 262/2528 ของศาลชั้นต้นฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน