คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก.ภริยาของโจทก์ร่วมเป็นหนี้จำเลยที่ 3 แล้วไม่ชำระ จำเลยที่ 3 ได้ฟ้องคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของ ก.เพื่อบังคับคดีในที่ดินดังกล่าวมีต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ร่วมปลูกอยู่ โดยโจทก์ร่วมเช่าที่ดินจาก ก. ปลูกไว้ และ ก. เคยตกลงเอาต้นกล้ายูคาลิปตัสตีใช้หนี้จำเลยที่ 3 ย่อมทำให้จำเลยทั้งสามเข้าใจว่าต้นยูคาลิปตัสเป็นของ ก. การที่จำเลยทั้งสามตัดเอาต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ร่วมไป แสดงว่ามีเจตนาเพื่อใช้หนี้จำเลยที่ 3ไม่มีเจตนาทุจริตไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันลักเอาต้นยูคาลิปตัส โดยตัดเป็นท่อนจำนวน 1,350 ต้นคิดเป็นราคาทั้งสิ้น 40,000 บาท ซึ่งเป็นพืชพันธุ์ อันมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรมของนายโอภาส เผ่าชูศักดิ์ ผู้เสียหาย ผู้มีอาชีพกสิกรรมไปโดยทุจริต โดยใช้รถยนต์บรรทุกเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์นั้นไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ, 83 ริบรถยนต์ของกลางคืนไม้ยูคาลิปตัสของกลางให้เจ้าของ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)(12) วรรคสาม, 336 ทวิ, 83 จำคุก จำเลยคนละ4 ปี 6 เดือน คืนไม้ยูคาลิปตัสของกลางแก่เจ้าของ รถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดให้ริบ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 สั่งให้คนงานตัดต้นยูคาลิปตัสเป็นจำนวน 1,350 ต้นบรรทุกรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 นำไปขายที่โรงงานไม้อัดไทยบางนาซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางมีปัญหาว่าต้นยูคาลิปตัสของกลางเป็นทรัพย์ของโจทก์ร่วมหรือไม่โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่า ต้นยูคาลิปตัสของกลางเป็นของโจทก์ร่วมถูกลักตัดมาจากไร่ที่โจทก์ร่วมเช่าที่ดินของนางกฤษณา บุญเลิศ นางกฤษณา บุญเลิศ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า โจทก์ร่วมได้เช่าที่ดินจากนางกฤษณาปลูกต้นยูคาลิปตัสต่อมาจำเลยที่ 3 นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงนี้เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ ระหว่างวันที่ 3-4 ตุลาคม 2529 เวลากลางวันนางกฤษณาเห็นรอยรถยนต์บรรทุกจึงเดินเข้าไปดูที่ดินดังกล่าวพบจำเลยที่ 1 และที่ 3 อยู่ในที่ดินและคนงานกำลังตัดต้นยูคาลิปตัสนางกฤษณาจึงโทรศัพท์แจ้งโจทก์ร่วม นอกจากนี้โจทก์มีนายธวัช สุกทับ นายเหลือ กาจา นายประครอง จันจี่ นายถนอม กาจา นายวินัย สะหม และนายบำรุง แก้วเลิศ เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ว่าจ้างให้พยานตัดต้นยูคาลิปตัสในที่ดินของโจทก์ร่วมโดยจำเลยที่ 1 อ้างว่าได้ยึดที่ดินและต้นยูคาลิปตัสแล้วส่วนจำเลยที่ 1 มีตัวจำเลยที่ 1 และนายเสงี่ยม คำยา เป็นพยานเบิกความว่าจำเลยที่ 1 ซื้อต้นยูคาลิปตัสจากนายเสงี่ยม แต่จำเลยที่ 2 เบิกความรับว่าต้นยูคาลิปตัสของกลางตัดจากที่ดินของโจทก์ร่วม ศาลฎีกาเห็นว่าพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะพยานที่เป็นคนงานตัดต้นยูคาลิปตัสไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความตามจริง ส่วนจำเลยที่ 1 กับนายเสงี่ยมเบิกความเรื่องการซื้อขายต้นยูคาลิปตัสและการชำระเงินที่ลดราคาลงมาขัดกันไม่น่าเชื่อเป็นพิรุธ ทั้งจำเลยที่ 2 เบิกความเจือสมคำพยานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันว่าจ้างนายธวัชกับพวกตัดต้นยูคาลิปตัสของกลางจากที่ดินที่โจทก์ร่วมเช่าจากนางกฤษณาจริง แต่มีพฤติการณ์ตามคำของพยานโจทก์ว่า นางกฤษณาเป็นหนี้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดที่ดินที่โจทก์ร่วมเช่าจากนางกฤษณาเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ และนางกฤษณาเคยตกลงเอาต้นกล้าไม้ยูคาลิปตัสตีใช้หนี้จำเลยที่ 3ปรากฏรายละเอียดตามรายงานกระบวนพิจารณาเอกสารหมาย ล.1แสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสามมีเจตนาตัดต้นยูคาลิปตัสเพื่อใช้หนี้จำเลยที่ 3 และเนื่องจากโจทก์ร่วมกับนางกฤษณาเป็นสามีภริยามีบุตรด้วยกัน ย่อมทำให้จำเลยเข้าใจว่าต้นยูคาลิปตัสเป็นของนางกฤษณา จำเลยทั้งสามจึงร่วมกันเอาต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ร่วมไปโดยไม่มีเจตนาทุจริต จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share