แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ผู้ร้องจะมีชื่อในทะเบียนบ้านเลขที่ 507/292 แต่ผู้ร้องยังใช้บ้านเลขที่ 766/26 ซึ่งผู้ร้องเคยอยู่ในการขอจดทะเบียนตั้งบริษัทลูกหนี้และใช้บ้านเลขที่ดังกล่าวปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ถือได้ว่าผู้ร้องเจตนาประสงค์จะใช้บ้านเลขที่ 766/26เป็นภูมิลำเนาเฉพาะการในการจัดตั้งบริษัทลูกหนี้และในการปฏิเสธหนี้การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายนัดไปยังผู้ร้องที่บ้านเลขที่ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมายนั้น ถือว่าชอบแล้ว.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลพิพากษาให้บริษัทจำเลย ลูกหนี้ เป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนพบว่าผู้ร้องเป็นลูกหนี้รายที่ 3 ของบริษัทลูกหนี้ จึงมีหนังสือยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้องหากคัดค้านให้ยื่นคำคัดค้านต่อศาล ผู้ร้องมิได้ยื่นคำคัดค้าน จึงถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้บริษัทลูกหนี้เด็ดขาด ศาลออกหมายบังคับคดีให้ผู้ร้องชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ผู้ร้องไม่ชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงยึดโฉนดที่ดินเลขที่ 19524 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อได้รับแจ้งว่าเป็นหนี้บริษัทลูกหนี้ผู้ร้องได้ยื่นหนังสือปฏิเสธหนี้ไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว แต่ไม่ได้รับหมายนัดให้ไปสอบสวนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปิดหมายนัดที่บ้านเลขที่ 766/26 ถนนเจริญกรุง แขวงบางคอแหลมเขตยานนาวา อันเป็นภูมิลำเนาเดิมที่ผู้ร้องย้ายไปนานแล้ว ถือว่าการปิดหมายนัดสอบสวนไม่ชอบ ขอให้ศาลกลับคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยให้นัดผู้ร้องไปสอบสวนเรื่องปฏิเสธหนี้ใหม่ ให้ถอนการยึดและงดการขายทอดตลาดที่ดินของผู้ร้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายนัดสอบสวน หนังสือยืนยันหนี้ ตลอดจนคำบังคับไปยังผู้ร้องที่บ้านเลขที่ 766/26 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะผู้ร้องเคยปฏิเสธหนี้โดยใช้บ้านเลขที่ดังกล่าว ต้องถือว่าบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์งดสอบสวนและส่งหนังสือยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้องโดยชอบแล้ว แต่ผู้ร้องมิได้คัดค้านต่อศาลภายในกำหนดเวลา จึงถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้กองทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้เด็ดขาด การยึดที่ดินของผู้ร้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปิดหมายนัดให้ผู้ร้องนำพยานไปให้สอบสวนที่บ้านเลขที่ 766/26 นั้นชอบหรือไม่… ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมีภูมิลำเนาที่บ้านเลขที่ 507/292 ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงช่องนนทรีเขตยานนาวา เพียงแห่งเดียว ไม่ได้มีภูมิลำเนาที่บ้านเลขที่ 766/26ตรอกจันทร์ใน ถนนเจริญกรุง แขวงบางคอแหลม เขตยานนาวา ด้วยนั้นเห็นว่าตามเอกสารหมาย จ.พ.ท.4 รายชื่อคำขอจดทะเบียนบริษัทลูกหนี้และรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทลูกหนี้ในวันประชุมตั้งบริษัทเมื่อวันที่30 เมษายน 2524 ปรากฏว่ามีรายชื่อผู้ร้องเป็นผู้ขอตั้งบริษัทลูกหนี้และเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทลูกหนี้ และมีการขอแก้ที่อยู่จากบ้านเลขที่507/292… เป็นบ้านเลขที่ 766/26…เป็นที่อยู่ของผู้ร้อง และการแก้ไขที่อยู่ดังกล่าวกระทำภายหลังผู้ร้องมีชื่อในทะเบียนบ้านเลขที่ 507/292 เอกสารหมาย ร.4 แล้ว และที่ผู้ร้องฎีกาว่า หนังสือปฏิเสธหนี้เอกสารหมาย ร.7 ระบุบ้านเลขที่ 766/26…เป็นที่อยู่ของผู้ร้อง เพราะทนายความทำหนังสือดังกล่าวให้ผู้ร้องเซ็นชื่อโดยผู้ร้องไม่ได้อ่านนั้น เห็นว่า ผู้ร้องเป็นนักธุรกิจปกติย่อมต้องเป็นผู้รอบคอบตามวิสัยของนักธุรกิจ ดังนั้น ที่ผู้ร้องอ้างว่าเซ็นชื่อในหนังสือปฏิเสธหนี้ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญโดยไม่ได้อ่านนั้นย่อมไร้เหตุผลในการที่จะรับฟัง ดังนั้น การที่ผู้ร้องแม้จะมีชื่อในทะเบียนบ้านเลขที่ 507/292…ก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องยังใช้บ้านเลขที่766/26 ซึ่งผู้ร้องเคยอยู่มาแล้วเดิมในการขอจดทะเบียนบริษัทลูกหนี้ก็ดี และใช้บ้านเลขที่ดังกล่าวปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ดี กรณีถือได้ว่าผู้ร้องเจตนาประสงค์ใช้บ้านเลขที่ 766/26เป็นภูมิลำเนาของผู้ร้องแต่เฉพาะการในการจัดตั้งบริษัทลูกหนี้และในการปฏิเสธหนี้ของบริษัทลูกหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 49 ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหมายนัดไปยังผู้ร้องที่บ้านเลขที่ 766/26 โดยวิธีปิดหมายตามเอกสารหมาย จ.พ.ท.2 และ จ.พ.ท.5 นั้นถือว่าชอบแล้ว เมื่อผู้ร้องไม่นำพยานหลักฐานไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงงดการสอบสวนและมีหนังสือยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้ร้องคัดค้านต่อศาลและไม่ชำระหนี้ค่าหุ้นดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ขอให้ศาลออกคำบังคับ ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดที่ดินพิพาทของผู้ร้องนั้น เป็นการชอบแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.