คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยยื่นฎีกาด้วยตนเองภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตั้งแต่แรก แม้คดีล้มละลายจะอยู่ในระหว่างจำเลยขอพิจารณาใหม่ ซึ่งไม่ว่าศาลจะอนุญาตให้พิจารณาใหม่ในภายหลังหรือไม่ก็ตาม ก็มิอาจลบล้างกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบดังกล่าวได้ และปัญหานี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ที่ดิน โฉนดเลขที่ 58545, 58547 แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 115231 แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และได้ขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 8พฤษภาคม 2532 จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 3แปลงดังกล่าวยื่นคำร้องลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2532 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด อ้างเหตุว่าราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้เป็นราคาประเมินในขณะยึด ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นราคาที่ขายทอดตลาดเป็นราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก จำเลยที่ 3 ได้คัดค้านการขายทอดตลาดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันขายทอดตลาดแล้ว และโจทก์กับจำเลยที่ 3 สามารถตกลงกันได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องไม่ปรากฏว่าการขายทอดตลาดเป็นไปโดยมิชอบอย่างไร เพียงแต่ขายราคาต่ำกว่าราคาที่แท้จริงไม่ทำให้การขายทอดตลาดเป็นไปโดยมิชอบ กรณีไม่จำต้องไต่สวนให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 519/2533 ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2533 ก่อนจำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาคดีนี้ จำเลยที่ 3จึงไม่มีสิทธิยื่นฎีกาด้วยตนเองได้ ศาลฎีการับคำร้องดังกล่าวแล้วได้สั่งให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยที่ 3 และให้ทำการไต่สวนคำร้อง ชั้นไต่สวนผู้ร้องและจำเลยที่ 3 แถลงรับว่า จำเลยที่ 3 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2533และถูกพิพากษาให้ล้มละลาย เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2534 แต่จำเลยที่ 3ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีล้มละลายดังกล่าวใหม่ เมื่อวันที่12 กุมภาพันธ์ 2535 คดีอยู่ระหว่างการไต่สวน ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีการอฟังผลคดีล้มละลายดังกล่าวด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า จำเลยที่ 3ยื่นฎีกาคดีนี้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2533 แต่ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2533 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 3 เด็ดขาด ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 519/2533 ของศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22, 25 บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 3 นับแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 3 ดังนั้นที่จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาคดีนี้ด้วยตนเองภายหลังถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ ส่วนที่จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้รอฟังผลการไต่สวนในคดีล้มละลายก่อนนั้น เห็นว่า แม้หากภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีล้มละลายดังกล่าวใหม่ตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ก็มีผลเพียงลบล้างคำพิพากษาและกระบวนพิจารณาในคดีล้มละลายดังกล่าวเท่านั้น มิได้ลบล้างกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบในคดีนี้ด้วย จึงไม่มีเหตุที่จะต้องรอฟังผลคดีล้มละลายดังกล่าว”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 3 และให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 3เสียด้วย.

Share