คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ และได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ปรากฏว่าอาวุธปืนนั้นเป็นอาวุธปืนที่จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายให้มีได้ และจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนติดตัว เมื่อพยานบุคคลและพยานเอกสารของโจทก์ไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งโจทก์ไม่ได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐาน จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวออกมาขู่ผู้เสียหายเป็นการพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้มีอาวุธปืนสั้นไม่ปรากฏขนาด จำนวน1 กระบอก ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงได้ ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะบริเวณถนนสมเด็จเจ้าพระยาและถนนลาดหญ้า โดยไม่มีเหตุสมควร และโดยไม่ได้รับอนุญาต และตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันใช้กำลังกายโดยใช้แขนรัดคอนายพรเทพ ติรนาควิทย์ผู้เสียหายไว้ พาเอาตัวผู้เสียหายไปยังรถยนต์นั่งและบังคับให้ผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ไปใช้อาวุธปืนดังกล่าวจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายใช้แขนรัดคอผู้เสียหายให้นั่งอยู่ในรถยนต์ พาเอาตัวผู้เสียหายไปไกลประมาณ 1 กิโลเมตร อันเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายและจำเลยกับพวกดังกล่าวยังร่วมกันใช้มือชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถูกที่บริเวณใบหน้าผู้เสียหาย 1 ครั้ง จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายมีรอยบวมช้ำที่บริเวณโหนกแก้มซ้าย มีอาการปวดมึนศีรษะขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 295, 310, 371พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาความผิดต่อเสรีภาพ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีข้อหาดังกล่าวจากสารบบความ
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น ส่วนข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และลหุโทษให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 6 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 3 เดือน ลงโทษฐานมีอาวุธปืนจำคุก 2 ปี ส่วนฐานพาอาวุธปืน ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปีรวมทุกกระทง จำคุก 3 ปี 3 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้องข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาต กับขอให้รอการลงโทษในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ปรับ 100 บาท สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ลงโทษปรับ 2,000 บาท อีกสถานหนึ่งจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 1,000 บาท รวมปรับ 1,100 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยมีอาวุธปืนสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ได้ความจากผู้เสียหายว่า จำเลยใช้อาวุธปืนชนิดออโตเมติกออกมาขู่ผู้เสียหาย แต่อาวุธปืนของจำเลยเป็นอาวุธปืนขนาดใด ผู้เสียหายไม่ทราบ และจะมีหมายเลขทะเบียนหรือไม่ผู้เสียหายไม่เห็น กับร้อยตำรวจโทพิสิทธิ์ มีสุข พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า ผู้เสียหายแจ้งว่าจำเลยใช้อาวุธปืนขู่ เป็นอาวุธปืนออโตเมติกไม่ทราบขนาดและไม่ยืนยันว่าจะมีหมายเลขทะเบียนหรือไม่ และเมื่อพยานมีหนังสือสอบถามกองทะเบียนกรมตำรวจว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนหรือไม่ ได้รับแจ้งว่าระบบรายชื่อเจ้าของอาวุธปืนตั้งแต่ พ.ศ. 2521 ถึงพ.ศ. 2524 ไม่มีชื่อจำเลย ส่วนระยะเวลาก่อนหรือหลังนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนนั้นได้รับแจ้งว่า ไม่พบข้อมูลดังกล่าว ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5และ จ.6 เห็นว่า ความผิดสองข้อหานี้จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ปรากฏว่าอาวุธปืนที่จำเลยใช้ขู่ผู้เสียหายนั้นเป็นอาวุธปืนที่จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายให้มีได้และจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้พาอาวุธปืนติดตัวเมื่อพยานบุคคลและพยานเอกสารของโจทก์ไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งโจทก์ไม่ได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐาน จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนออกมาขู่ผู้เสียหายนั้นเป็นการพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบด้วยรูปคดีแล้ว”
พิพากษายืน

Share