คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 573/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เคยฟ้องศาลให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดศาลพิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้นำมูลหนี้เดิมมาฟ้องศาลให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดอีก และมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ในคดีนี้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนว่า จำเลยที่ 2 ได้โอนขาย ที่ดินแก่บุคคลภายนอก และจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคแรก ประกอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลายฯมาตรา 153.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน2,244,022.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ถ้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 271 เลขที่ดิน 4หน้าสำรวจ 271 ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบหากขายทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน จำเลยทั้งสองทราบคำบังคับแล้วไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีไว้แล้ว โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2ออกขายทอดตลาด หักค่าธรรมเนียมการขายแล้วโจทก์ได้รับเงินสุทธิจำนวน 408,500 บาท มาชำระหนี้บางส่วน ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดหักค่าธรรมเนียมการขายแล้วโจทก์ได้รับชำระหนี้อีก 741,000 บาทซึ่งยังไม่พอชำระหนี้โจทก์ และเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2533 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เล่ม 5 หน้า 156 สารบบเล่มที่ 213 ตำบลสบบง อำเภอเชียงคำจังหวัดพะเยา ของจำเลยที่ 2 แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถยึดทรัพย์ดังกล่าวได้ เนื่องจากที่ดินดังกล่าวได้โอนขายให้บุคคลภายนอกไปแล้วตั้งแต่ปี 2519 และบุคคลภายนอกได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาโดยไม่ได้แก้ทางทะเบียน จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 3/2533 ของศาลชั้นต้นในมูลหนี้เดียวกัน และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีแล้ว โจทก์มาฟ้องใหม่ไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 153 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เดิมโจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องตามคดีหมายเลขแดงที่ 3/2533 โดยวินิจฉัยว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยังมีทรัพย์สินคือที่ดินมี น.ส.3 อยู่ 1 แปลงที่ตำบลสบบง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เนื้อที่ 44 ไร่ 1 งาน94 ตารางวา ตามเอกสารหมาย จ.11 ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2ได้โอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้อื่นก็เป็นการกล่าวอ้างอย่างลอย ๆ ไม่มีพยานอื่นสนับสนุน ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้โอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วที่ดินแปลงดังกล่าวมีเนื้อที่ถึง 44 ไร่ 1 งาน 94 ตารางวา นับว่าจำนวนมาก โจทก์ไม่ได้นำสืบถึงราคาของที่ดินแปลงนี้ว่ามีราคามากกว่าหรือน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสองยังค้างชำระแก่โจทก์พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ได้นำมูลหนี้จำนวนเดิมกลับมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีก เพื่อขอให้ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ปัญหาแรกที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่าคู่ความในคดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่3/2533 ของศาลชั้นต้นเป็นคู่ความเดียวกัน และประเด็นพิพาทในคดีดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้ว กับประเด็นพิพาทที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ก็อาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ได้โอนขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.11 ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 3/2533ของศาลชั้นต้นแก่บุคคลภายนอกไปแล้วหรือไม่และจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483…”
พิพากษายืน.

Share