แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและมิได้เว้นที่ว่างอันปราศจากหลังคาปกคลุมโดยรอบอาคารไม่น้อยกว่า 10 เมตรทุกด้าน จำเลยต่อสู้ว่าตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยต่อเติมอาคารนั้น จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารเสร็จแล้ว คำให้การของจำเลยเท่ากับจำเลยยอมรับตามฟ้องว่าได้กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 22 ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดดัดแปลงอาคาร เว้นแต่เจ้าของอาคารจะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น กับยอมรับว่าจำเลย ฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 80 ซึ่งบัญญัติให้อาคารที่โจทก์ต่อเติมต้องมีที่ว่าง ไม่น้อยกว่า 10 เมตรทุกด้าน เมื่อจำเลยต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยจะต้องรื้อถอนกรณีมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยก่อสร้างอาคารยังไม่เสร็จ และจำเลยจะต้องระงับการก่อสร้าง กฎหมายที่นำมาปรับคือมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งการที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะฟ้องคดี ต่อ ศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารตามความในวรรคสามนั้นต้องผ่านขั้นตอนที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้รื้อถอนอาคารตามในวรรคหนึ่ง แล้วผู้รับคำสั่งไม่ปฏิบัติตาม เมื่อโจทก์ส่งคำสั่งให้จำเลยรื้อถอน อาคาร ที่ต่อเติมให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และจำเลยได้รับหนังสือ แล้ว จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ เพียงแต่ปฏิเสธว่ามิได้รับ คำสั่ง ให้ ระงับ การก่อสร้างซึ่งเป็นคนละกรณี และเมื่ออาคารที่จำเลย ต่อเติมไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติ กรุงเทพมหานครดังกล่าวได้ เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ดำเนินการ ตามขั้นตอนแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารมาตรา 42 ครบถ้วนแล้ว โจทก์มี อำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและออกใบอนุญาตสั่งให้รื้อถอนแก้ไขหรือระงับการก่อสร้างอาคาร จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินและอาคารเลขที่ 4/1487 เมื่อระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2528ถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2528 จำเลยได้ก่อสร้างต่อเติมอาคารโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์และเป็นการก่อสร้างฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 80 เจ้าพนักงานของโจทก์ได้ตรวจพบ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2528 จึงได้สั่งด้วยวาจาให้จำเลยระงับการก่อสร้างต่อเติมอาคารนั้น ต่อมาผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตรักษาราชการแทนผู้อำนวยการเขตบางกะปิ ปฏิบัติราชการแทนโจทก์ ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยระงับการก่อสร้างต่อเติมอาคารดังกล่าว จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วแต่ไม่เชื่อฟังและทำการก่อสร้างต่อเติมอาคารต่อไปจนเสร็จและเปิดประกอบกิจการโรงงานตลอดมา ต่อมาผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตบางกะปิ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการเขตบางกะปิ ปฏิบัติราชการแทนโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวภายใน 30 วัน จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่ง ขอให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างต่อเติมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าจำเลยไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ก่อสร้างต่อเติมอาคารตามฟ้องเสร็จตั้งแต่ปลายปี 2527 มิใช่เพิ่งมาก่อสร้างต่อเติมในช่วงระยะเวลาตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และช่วงที่โจทก์มีหนังสือแจ้งให้ระงับการก่อสร้างต่อเติมอาคารนั้น จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่51/388-389 แต่โจทก์ส่งคำสั่งให้จำเลยที่บ้านเลขที่ 4/1487 อาคารที่เกิดเหตุซึ่งมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างต่อเติมโดยฝ่าฝืนกฎหมายเลขที่ 4/1487 เฉพาะส่วนที่ก่อสร้างต่อเติมโดยมิได้รับอนุญาต หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์ทำการรื้อถอนได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความตามฟ้องว่าจำเลยต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจำเลยก็ยอมรับในข้อนี้เพียงแต่ต่อสู้ว่าตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยต่อเติมอาคารนั้นจำเลยได้ปลูกสร้างอาคารเสร็จแล้ว คำให้การของจำเลยจึงมีผลเท่ากับจำเลยยอมรับตามฟ้องว่าได้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 22 ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดดัดแปลงอาคาร เว้นแต่เจ้าของอาคารจะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น และในขณะเดียวกันจำเลยก็มิได้ให้การปฏิเสธ ฟ้องโจทก์ในเรื่องจำเลยปลูกสร้างอาคารโดยมิได้เว้นที่ว่างอันปราศจากหลังคาปกคลุมโดยรอบอาคารไม่น้อยกว่า 10 เมตร ทุกด้าน เท่ากับจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้ดัดแปลงอาคารเป็นการฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 80 และที่จำเลยต่อสู้ว่ามีการแจ้งคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการแจ้งคำสั่งให้จำเลยระงับการก่อสร้าง ดัดแปลงมิได้แจ้งไปยังภูมิลำเนาของจำเลยนั้น เห็นว่าสำหรับกรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งจำเลยจะต้องรื้อถอน มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยก่อสร้างอาคารยังไม่เสร็จ และจำเลยจะต้องระงับการก่อสร้างดังนั้นกฎหมายที่จะปรับแก่กรณีคือ มาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งการที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะฟ้องคดีต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนอาคารตามความในวรรคสามนั้นต้องผ่านขั้นตอนที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้รื้อถอนอาคารตามในวรรคหนึ่ง แล้วผู้รับคำสั่งไม่ปฏิบัติตาม สำหรับกรณีนี้โจทก์กล่าวอ้างตามฟ้องข้อ 5 ว่า โจทก์ได้ส่งคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ เพียงแต่ปฏิเสธว่ามิได้รับคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างซึ่งเป็นคนละกรณีกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้แล้ว ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยได้รับคำสั่งให้รื้อถอนโดยชอบแล้วและปรากฏว่าอาคารที่จำเลยต่อเติมนั้นเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กมีขนาดกว้าง 9.50 เมตร ยาว 16 เมตรติดกับอาคารหลังเดิมใช้ประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมทำเครื่องปั้นดินเผาซึ่งมีเตาไฟและเครื่องจักรโดยมิได้เว้นที่ว่างอันปราศจากหลังคาหรือสิ่งใดปกคลุมโดยรอบอาคารนั้นไม่น้อยกว่า10 เมตรทุกด้าน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวได้ เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ดำเนินการตามขั้นตอนแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร มาตรา42 ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ต่อเติมได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.