คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย นอกจากจะเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ(3) แล้ว ยังต้องเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดด้วย ซึ่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2515) หมวด 4การขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย โดยมิได้แจ้งการครอบครอง กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่า “การออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ครอบครองและการทำประโยชน์ ในที่ดินเฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตาม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ต้องอยู่ใน หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขดังนี้…(2) ความจำเป็นในกรณีที่ จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้คือ…(ค) ในกรณีที่มี ความจำเป็นอย่างอื่น แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นการเฉพาะราย”ที่ดินพิพาทโจทก์เข้าจับจองครอบครองหลังจากที่ ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว จึงเป็นที่ดินที่ไม่อาจจะแจ้ง การครอบครองได้ตาม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497ถึงแม้จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 58 ทวิ(3) ก็ตาม เมื่อได้ความว่าผู้ว่าราชการจังหวัดมีหนังสือให้ โจทก์ออกจากที่พิพาท แสดงให้เห็นว่าไม่มีการอนุมัติให้ออกหนังสือ รับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินพิพาท ดังนั้น ที่ดินพิพาท จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนด ไว้ในวันที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยการจับจองทำประโยชน์ และได้ขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายแต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้ ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รายงานเท็จต่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกจากที่ดิน ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้บังคับจำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ หากขัดขืนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามที่โจทก์อ้างเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์มิได้ครอบครองที่ดินก่อนประมวลกฎหมายที่ดินเริ่มใช้บังคับ จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าโจทก์เข้าไปจับจองครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2507 หลังจากที่ประมวลกฎหมายที่ดินมีผลใช้บังคับแล้ว โจทก์เคยยื่นเรื่องราวขอมีสิทธิในที่ดินต่อทางราชการ แต่ทางราชการยังไม่ดำเนินการให้ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีหนังสือให้โจทก์ออกจากที่พิพาทคดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินที่พิพาทให้โจทก์เฉพาะรายตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ (3) และมาตรา 59 ได้หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว กรณีของโจทก์นั้นเป็นเรื่องอ้างว่าเป็นการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย ซึ่งในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายไม่ว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา 58แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควร ให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วแต่กรณีได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด…” มาตรา 58 ทวิวรรคสอง บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ได้คือ…
(3) ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดิน ภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ และไม่มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หรือไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ”
วรรคสี่บัญญัติว่า “สำหรับบุคคลตามวรรคสอง (2) และ (3)ให้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วแต่กรณีได้ไม่เกินห้าสิบไร่ ถ้าเกินห้าสิบไร่ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด” ตามบทกฎหมายดังกล่าวนอกจากจะเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน บทบัญญัติมาตราต่าง ๆ แล้ว การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายจะต้องเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดด้วยซึ่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2515)หมวด 4 การขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครอง กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่า “การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ครอบครองและการทำประโยชน์ในที่ดินเฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขดังนี้…
(2) ความจำเป็นในกรณีที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้คือ…
(ค) ในกรณีที่มีความจำเป็นอย่างอื่น แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย”
ที่ดินที่พิพาทนั้นโจทก์เข้าจับจองครอบครองหลังจากที่ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว จึงเป็นที่ดินที่ไม่อาจจะแจ้งการครอบครองได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ถึงแม้จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58 ทวิ (3) ก็ตามแต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่ได้ความว่าโจทก์ได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย กลับได้ความว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีหนังสือให้โจทก์ออกจากที่พิพาทอันเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าไม่มีการอนุมัติให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินที่พิพาท ดังนั้น ที่ดินที่พิพาทจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดไว้ในอันที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่อาจจะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share