แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันกับที่จำเลยยื่นฎีกา กำหนดให้ จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 7 วัน ถือว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งใน วันนั้นแล้ว ต่อมาจำเลยเพียงแต่มาวางเงินค่านำส่งสำเนาฎีกา ในวันหลังซึ่งล่วงเลยกำหนดเวลาไปหลายวันแล้ว โดยยังไม่ได้ นำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์จึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174(2)ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแบ่งขายที่ดินส่วนหนึ่งให้แก่โจทก์จำเลยได้รับชำระราคาเรียบร้อยและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์นับแต่ซื้อมาตลอดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 9 ปีเศษ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยโอนทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ แต่จำเลยอ้างว่าติดจำนองโอนไม่ได้ และได้บุกรุกรบกวนการครอบครองของโจทก์ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยินยอมให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาซื้อขายใช้บังคับไม่ได้และต่อมา โจทก์ขอเงินค่าซื้อที่ดินจากจำเลยคืนทั้งรับว่าจะไม่เกี่ยวข้องที่ดินพิพาทอีกต่อไป จำเลยยินยอมคืนเงินแก่โจทก์แต่ขอเวลา 15 วัน จะนำเงินคืนโจทก์ โจทก์ยินยอม ต่อมาจำเลยจึงเข้าไปไถที่ดินเพื่อปลูกมันสำปะหลัง ครั้นครบกำหนด 15 วันจำเลยนำเงินไปชำระแก่โจทก์ โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับ ขอให้ศาลบังคับโจทก์รับเงินจากจำเลย ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และโจทก์ครอบครองถึงปัจจุบันเป็นเวลา 9 ปีเศษแล้ว จำเลยอ้างว่าโจทก์ขายคืนแต่ไม่มีการชำระราคาหรือชำระหนี้บางส่วน จึงฟังเป็นสัญญาจะซื้อจะขายต่อกันไม่ได้ เมื่อโจทก์มิได้ส่งมอบการครอบครองจำเลยไม่มีสิทธิที่จะละเมิดบุกรุกรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิบังคับโจทก์รับชำระค่าที่ดิน ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์รับเงิน 15,000 บาท จากจำเลยห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทอีกต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินพิพาท ก ข ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2534 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่จำเลยยื่นฎีกากำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 7 วันจึงถือว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันนั้นแล้ว ต่อมาจำเลยเพียงแต่มาวางเงินค่านำส่งสำเนาฎีกาในวันที่ 21 สิงหาคม 2534ซึ่งล่วงเลยกำหนดเวลาไปหลายวันแล้วโดยยังไม่ได้นำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ เมื่อจำเลยไม่จัดการนำส่งสำเนาฎีกาในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบด้วยมาตรา 246และมาตรา 247”
ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลฎีกา.