คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ร้านสหกรณ์ของโจทก์ดำเนินการโดยคณะกรรมการ ตามสัญญาจ้างได้กำหนดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างซึ่งทำหน้าที่ผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ไว้ว่า ถ้าโจทก์ได้รับความเสียหายใด ๆ ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้น จำเลยที่ 1 จะยอมรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ นอกจากนี้ยังมีข้อบังคับของโจทก์กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ที่จะต้องตรวจตราดูแลสินค้าของโจทก์ให้อยู่ในสภาพอันดีและปลอดภัยอีกด้วย ต่อมาผู้ตรวจบัญชีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ตรวจพบว่าสินค้าของโจทก์ขาดบัญชี คณะกรรมการร้านค้าของโจทก์พิจารณากันในการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน 2526 แล้วเห็นว่าการตรวจสอบของผู้ตรวจบัญชีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ถูกต้อง ฝ่ายจำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ถูกต้องจะขอให้มีการตรวจสอบใหม่โดยผู้ตรวจบัญชีเอกชนซึ่งจำเลยที่ 1จะจัดหามาเอง ต่อมามีการประชุมอีก 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้พิจารณาถึงปัญหาเกี่ยวกับตัวผู้จะพึงต้องรับผิดใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีเพราะคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ทราบจากสัญญาและข้อบังคับของโจทก์อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าจำเลยที่ 1 จะต้องเป็นผู้รับผิดใช้ค่าสินค้าที่ขาดบัญชี ดังนี้จึงต้องถือว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีตั้งแต่วันที่มีการประชุมคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ครั้งแรก แต่โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2527พ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคแรก เอกสารที่โจทก์อ้างว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้มีข้อความสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้ยอมรับว่ามีสินค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ขาดบัญชีคิดตามราคาทุนเป็นเงิน846,773.97 บาทเท่านั้น หามีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์และยินยอมจะใช้ค่าสินค้าที่ขาดบัญชีนั้นต่อโจทก์ไม่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยทำหนังสือรับสภาพให้ อันจะเป็นเหตุให้อายุความฟ้องคดีของโจทก์สะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2525 ถึงวันที่ 30 กันยายน2526 จำเลยที่ 1 ตกลงว่าถ้าก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ ขึ้นด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อจะยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์โดยสิ้นเชิง มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ทำงานด้วยความประมาทเลินเล่อไม่ควบคุมดูแลตรวจสอบหรือทำบัญชีสินค้าให้ถูกต้อง ไม่ระมัดระวังควบคุมการปฏิบัติงานของพนักงานในร้านค้าของโจทก์ให้ถี่ถ้วน ทำให้สินค้าของโจทก์หายไปเป็นจำนวนมาก เมื่อสิ้นกำหนดสัญญาจ้างโจทก์ตั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าคงเหลือพบว่า มีสินค้าขาดบัญชีคิดตามราคาทุน เป็นเงิน 846,773.97 บาท คิดตามราคาขายเป็นเงิน1,066,649.47 บาท โจทก์ทราบว่าสินค้าขาดบัญชีและรู้ตัวผู้ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2526 โดยจำเลยที่ 1ยอมรับว่าเป็นผู้ทำสินค้าขาดบัญชีและทำหนังสือรับรองจำนวนสินค้าขาดบัญชีในราคาทุนแก่โจทก์ แต่กรมส่งเสริมสหกรณ์สั่งให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีตามราคาขาย ต่อมาโจทก์ตรวจพบเมื่อจะมอบสินค้าแก่ผู้จัดการร้านค้าคนใหม่ของโจทก์ว่า มีสินค้าขาดบัญชีอีกคิดตามราคาขายเป็นเงิน 84,296.50 บาท รวมมีสินค้าขาดบัญชีคิดตามราคาขายเป็นเงินทั้งสิ้น 1,150,945.97 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยไม่ชำระให้โจทก์ จำเลยทั้งสามผิดนัดจึงต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ นับแต่วันที่ 30 กันยายน 2526 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 14 เดือนเศษ แต่โจทก์ขอคิดเพียง 14 เดือน เป็นเงิน 100,707.77 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,251,653.74 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำให้สินค้าของโจทก์ขาดบัญชี ผู้จัดการร้านค้าของโจทก์คนเดิมออกไปโดยไม่ได้ส่งมอบหน้าที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ชั่วคราวมาตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2525 โจทก์มอบหมายการงานแก่จำเลยที่ 1โดยไม่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินและส่งมอบบัญชีสินค้า สินค้าของโจทก์จะขาดบัญชีเมื่อใดและผู้ใดทำให้ขาดบัญชีไม่ปรากฏ คณะกรรมการทุกคนของโจทก์จึงต้องร่วมกันรับผิดตามข้อบังคับของโจทก์ข้อที่ 39 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดหากต้องรับผิดก็ไม่ควรรับผิดเกินราคาทุนของสินค้า และไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 เพียงแต่ลงชื่อรับทราบผลการตรวจสอบสินค้าของพนักงานบัญชีเท่านั้น หาได้ยอมรับว่าเป็นผู้ทำให้สินค้าขาดบัญชีและรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ไม่ โจทก์ฟ้องคดีพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่าสัญญาค้ำประกันเป็นโมฆะเพราะคณะกรรมการของโจทก์มิได้ลงชื่อเป็นคู่สัญญาจำเลยที่ 1 มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเกินกว่าราคาทุนของสินค้าที่ขาดบัญชี และคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมไม่มีผู้ใดเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีโจทก์ขาดอายุความ ประเด็นข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางเจือพรรณ เพชรวิเศษ ทายาท และผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 3 เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีคงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ข้อเท็จจริงตามที่ทั้งสองฝ่ายไม่โต้เถียงกันฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์และดำเนินการโดยคณะกรรมการตามใบสำคัญรับจดทะเบียนสหกรณ์และข้อบังคับเอกสารหมาย จ.1 และ ล.1โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการร้านค้าของโจทก์มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2525 ถึงวันที่ 30 กันยายน2526 ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4 จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันการทำหน้าที่ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6เมื่อครบกำหนดสัญญา ผู้สอบบัญชี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ตรวจพบว่าในรอบปีที่จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่ดังกล่าวมีสินค้าของโจทก์ขาดบัญชี และได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบให้ประธานร้านค้าของโจทก์ทราบกับให้ดำเนินการแก้ไข ตามเอกสารหมาย ล.2 นายเมธี ส.ศรีสุภาพประธานร้านค้าของโจทก์ได้สั่งการให้คณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ประชุมปรึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2526จากนั้นคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ได้ประชุมพิจารณากันต่อมาในวันที่ 4 และวันที่ 17 ธันวาคม 2526 อีกสองครั้ง ในการประชุมครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2526 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับรองจำนวนสินค้าขาดบัญชีคิดตามราคาทุนเป็นเงิน 846,733.97 บาทตามเอกสารหมาย จ.8
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เพิ่งจะรู้โดยแน่นอนในการประชุมของคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม2526 ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องเป็นผู้รับผิดชดใช้ค่าสินค้าที่ขาดบัญชีต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับรองจำนวนสินค้าขาดบัญชี ตามเอกสารหมาย จ.8 ส่วนการประชุมของคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ก่อนหน้านั้นทั้งสองครั้ง เป็นการประชุมพิจารณาเพื่อจะหาจำนวนสินค้าที่ขาดบัญชีและตัวผู้ที่จะต้องรับผิดโดยแน่นอน กับเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่มีสินค้าขาดบัญชีเกิดขึ้นเท่านั้น โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2527 ยังไม่พ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่รู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 4 ได้กำหนดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างทำหน้าที่ผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ไว้แล้วโดยชัดแจ้งว่า ถ้าโจทก์ได้รับความเสียหายใด ๆ ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม จำเลยที่ 1 จะยอมรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์โดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ยังมีข้อบังคับของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 50(8) กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ที่จะต้องตรวจตราดูแลสินค้าของโจทก์ให้อยู่ในสภาพอันดีและปลอดภัยอีกด้วย ปัญหาที่คณะกรรมการร้านค้าของโจทก์พิจารณากันในการประชุมทั้งสามครั้งเท่าที่ปรากฏจากคำเบิกความของนายเมธี ส.ศรีสุภาพประธานร้านค้าของโจทก์ คงมีแต่เรื่องจำนวนสินค้าขาดบัญชีประการเดียวเท่านั้น เริ่มแต่การประชุมครั้งแรกซึ่งคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์พิจารณาแล้วเห็นว่าการตรวจสอบของผู้ตรวจบัญชี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ถูกต้อง ฝ่ายจำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ถูกต้องจะขอให้มีการตรวจสอบใหม่โดยผู้ตรวจบัญชีเอกชนซึ่งจำเลยที่ 1 จะจัดหามาเอง ปัญหาเกี่ยวกับตัวผู้จะพึงต้องรับผิดใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีหาได้พิจารณากันไม่ เหตุที่ไม่มีการพิจารณากันเลยเช่นนี้ย่อมบ่งชี้ให้รับฟังได้ว่าเป็นเพราะคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ทราบจากสัญญาและข้อบังคับของโจทก์อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าจำเลยที่ 1 จะต้องเป็นผู้รับผิดใช้ค่าสินค้าที่ขาดบัญชี ดังนี้จึงต้องถือว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินค้าขาดบัญชีตั้งแต่วันที่มีการประชุมคณะกรรมการร้านค้าของโจทก์ครั้งแรก คือตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 ที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2526 ตามเอกสารหมาย จ.8 และมอบอำนาจให้นางประพิศภรรยามีหนังสือขอประนอมหนี้ตามเอกสารหมาย จ.13 ถึงโจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่าเอกสารที่โจทก์อ้างว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวมีข้อความสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้ยอมรับว่ามีสินค้าของโจทก์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ขาดบัญชีคิดตามราคาทุนเป็นเงิน846,773.97 บาท เท่านั้น หามีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์และยินยอมจะใช้ค่าสินค้าที่ขาดบัญชีนั้นต่อโจทก์ไม่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยทำหนังสือรับสภาพให้ อันจะเป็นเหตุให้อายุความฟ้องคดีของโจทก์สะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 ส่วนเอกสารหมาย จ.13 มีนางประพิศเป็นผู้ทำ แม้จะมีข้อความว่าจำเลยที่ 1 มอบให้เป็นตัวแทนในการตกลง ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างของนางประพิศ เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 1มอบหมายให้นางประพิศดำเนินการเช่นนั้น จึงรับฟังเอกสารหมายจ.13 มายันจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เมื่อฟังได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนับแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน2526 และไม่มีเหตุที่จะทำให้อายุความฟ้องคดีของโจทก์สะดุดหยุดลงโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2527 จึงพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share