คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2197/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยตกลงแถลงร่วมกันว่า การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับผิดในหนี้จำนวนเท่าใดนั้นให้อยู่ในดุลพินิจ ของศาลที่จะกำหนดเบี้ยปรับและดอกเบี้ย ให้จำเลยรับผิด แสดงว่าโจทก์พร้อมที่จะรับในดุลพินิจของศาล เมื่อศาลชั้นต้น มีดุลพินิจกำหนดเป็นประการใด โดยไม่ปรากฏว่าดุลพินิจ ของศาลชั้นต้น เป็นไปโดยมิชอบ ศาลฎีกาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ให้เป็นอย่างอื่นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ลาไปศึกษาต่อ ณ ประเทศออสเตรเลีย โดยได้รับทุน เงินเดือน และเงินอื่นที่ข้าราชการพึงได้รับ มีสัญญาว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับราชการชดใช้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเวลาที่รับทุน หากไม่รับราชการชดใช้จะต้องชดใช้เงินที่ได้รับจากราชการทั้งสิ้นพร้อมเบี้ยปรับ 1 เท่า ในการนี้มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่รับราชการชดใช้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 1,382,707.31 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,030,396.43 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 กลับมารับราชการชดใช้ให้โจทก์ครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาแล้วค่าปรับสูงเกินควร โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเงินทุนไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของรัฐบาลออสเตรเลีย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงร่วมกันว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้ข้าราชการไปศึกษาหรือฝึกอบรมต่างประเทศ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตามฟ้องจริงหากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจำเลยที่ 2 จะยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามสัญญาเป็นเงิน 515,280.22 บาท บวกเบี้ยปรับอีก 1 เท่า จึงเป็นเงินที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์ 1,030,396.43 บาทซึ่งในการฟ้องคดี โจทก์บวกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเข้าในต้นเงินดังกล่าวด้วย รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ 1,382,707 บาท แล้วจำเลยทั้งสองขอสละประเด็นข้อต่อสู้ การที่จะพิพากษาให้จำเลยรับผิดในยอดหนี้จำนวนเท่าใดนั้น ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดเบี้ยปรับและดอกเบี้ยที่ค้างชำระตามที่ศาลเห็นสมควร แล้วโจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยานทั้งนี้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 8 พฤษภาคม 2540
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,030,396.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจะพึงคิดดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องให้โจทก์หรือไม่ ปรากฏว่าตามที่โจทก์จำเลยแถลงร่วมกัน ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดเบี้ยปรับและดอกเบี้ย ให้จำเลยรับผิดจำนวนเท่าใด นั้น ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดในเบี้ยปรับเต็มจำนวนตามคำฟ้องส่วนดอกเบี้ยศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดเฉพาะดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นมีดุลพินิจว่าโจทก์ไม่ควรได้รับดอกเบี้ยก่อนฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้อง เห็นว่า การที่โจทก์ยินยอมให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่ศาลเห็นสมควรเช่นนี้ แสดงว่าโจทก์พร้อมที่จะยอมรับในดุลพินิจของศาล เมื่อศาลชั้นต้นมีดุลพินิจกำหนดเป็นประการใด โดยไม่ปรากฏว่าดุลพินิจของศาลชั้นต้นเป็นไปโดยมิชอบศาลฎีกาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share