คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้ผู้ร้องจะมิได้เป็นคู่ความในคดีและรับโอนที่ดินซึ่งเป็นภารยทรัพย์จากจำเลยโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตผู้ร้องก็จะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภารจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินนั้นต้องสิ้นไปเพราะเหตุที่มิได้จดทะเบียนภารจำยอมหาได้ไม่ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า โดยสภาพปัจจุบันทางภารจำยอมตาม แนวทางที่กำหนดไว้เดิมในคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วแปรสภาพไปตั้งแต่ก่อนที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้วจึงหมดประโยชน์ที่จะใช้และไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ แก่สามยทรัพย์ แล้วนั้น ภารจำยอมจะสิ้นไปก็แต่ เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์ สลายไปทั้งหมดหรือมิได้ใช้สิบปี ดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397 หรือมาตรา 1399กรณีเป็นเรื่องที่ผู้ร้องกับจำเลยจะต้องดำเนินการขอให้ย้ายภารจำยอมหรือขอให้ภารยทรัพย์บางส่วนพ้นจากภารจำยอมตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 หรือ มาตรา 1394 ผู้ร้องย่อมไม่อาจอ้างว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้ทำได้ ทั้งไม่ปรากฎว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ผู้ร้องจึงไม่อาจขอให้ยกเลิกการบังคับคดีในคดีนี้ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ทางเดินพิพาทกว้างประมาณ 80 เซนติเมตร ยาวตลอดแนวทางเดินในที่ดินโฉนดเลขที่ 1253 ตำบลวัดพระยาไกร (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 ยาวประมาณ 91 เมตร และในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 1251 และ 1252 ตำบลวัดพระยาไกร (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ยาวประมาณ 63 เมตร และ 72.50 เมตร ตามลำดับเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยทั้งเจ็ดจดทะเบียนภารจำยอมแก่โจทก์ทั้งเจ็ด เพื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 1275 เลขที่ดิน 19 ตำบลวัดพระยาไกร (บ้านทวาย)อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ดให้จำเลยทั้งเจ็ดรื้อสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่ได้กระทำลงบนทางพิพาทให้จำเลยทั้งเจ็ดทำสะพานไม้ให้อยู่ในสภาพเดิมโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งเจ็ด และให้ยกฟ้องจำเลยร่วม คดีอยู่ระหว่างการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี มีผู้ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการบังคับคดี 2 ราย เพื่อความสะดวกต่อการพิพากษาจึงให้เรียกผู้ร้องรายแรกว่าผู้ร้องรายที่ 1 และให้เรียกผู้ร้องรายหลังว่า ผู้ร้องรายที่ 2 โดยผู้ร้องทั้งสองรายยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีอ้างว่า ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2534 วันที่ 29 สิงหาคม 2531 และวันที่ 4 ตุลาคม 2534 ตามลำดับ ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 47329, 48677 และ 47365 และเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 2027/81, 2027/132 และ 2027/80ตำบลทุ่งวัดดอน (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก)กรุงเทพมหานคร ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 47329, 48677, และ 47365 แบ่งแยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 1253 ตำบลทุ่งวัดดอน (บ้านทวาย) อำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 สิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการรื้อถอนและทำสะพานไม้เป็นสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินของผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีอำนาจที่จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 ขอให้ยกเลิกการบังคับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองราย
ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 ว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีแก่ที่ดินของผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 มิได้เป็นคู่ความในคดี คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ผูกพันผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 โจทก์มิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งภารจำยอม โจทก์จึงไม่อาจยกสิทธิการได้มาอันยังมิได้จดทะเบียนขึ้นต่อสู้ผู้ร้องรายที่ 1และที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นผู้ได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวส่วนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการรื้อถอนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วได้นั้น เห็นว่าภารจำยอมจะสิ้นไปก็แต่เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมดหรือมิได้ใช้สิบปีดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397 หรือ มาตรา 1399 ดังนั้น แม้ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีและรับโอนที่ดินซึ่งเป็นภารยทรัพย์จากจำเลยทั้งเจ็ดโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 ก็จะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภารจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินนั้นต้องสิ้นไปเพราะเหตุที่มิได้จดทะเบียนภารจำยอมหาได้ไม่ ทั้งนี้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2502 ระหว่างหลวงสุภาเทพ โจทก์ นางอิ่มจิตร ถาวรธนสาร จำเลย ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และเมื่อตามคำร้อง ของ ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งได้แล้วก็ไม่มีเหตุที่จะต้องทำการไต่สวนคำร้อง ของ ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 ก่อนแต่อย่างใด นอกจากนี้ ที่ผู้ร้องรายที่ 2 อ้างว่าโดยสภาพปัจจุบันทางภารจำยอมตามแนวทางที่กำหนดไว้เดิมแปรสภาพไปตั้งแต่ก่อนที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงหมดประโยชน์ที่จะใช้และไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ แก่สามยทรัพย์แล้วนั้นก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องรายที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยจะต้องดำเนินการขอให้ย้ายภารจำยอมหรือขอให้ภารยทรัพย์บางส่วนพ้นจากภารจำยอมตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1392 หรือมาตรา 1394 ไม่อาจอ้างว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้ทำได้ ทั้งไม่อาจขอให้ยกเลิกการบังคับคดีเพราะไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายแต่อย่างใด”
พิพากษายืน

Share